ถือเป็นนัดหยุดโลกอีกหนึ่งแมตช์ที่ใครหลายคนต่างรอคอย ในสถิติที่เจอกันของทั้ง 2 ทีมรวมทุกรายการนั้น ลิเวอร์พูลเคยเจอกับสเปอร์สมาแล้วทั้งหมด 172 นัด แบ่งเป็น ลิเวอร์พูลชนะ 82 นัด เสมอ 42 นัดและ สเปอร์สชนะ 48 นัด
หากนับเฉพาะผลงานของสองผู้จัดการทีมที่เคยเจอกันนั้นคงต้องบอกว่า เจอร์เกน คล็อปป์ ยังมีสถิติที่เหนือกว่าเมาริซิโอ โปเชตติโน เพราะว่าทั้งสองเจอกันทั้งหมด 9 ครั้ง แบ่งเป็น คล็อปชนะ 4 ครั้ง เสมอ 4 ครั้ง และโปเช็ตติโน ชนะ เพียง 1 ครั้ง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าแฟนสเปอร์สจะหมดหวังเพราะเนื่องจากได้รับข่าวดีว่า กองหน้าระดับเบอร์หนึ่งของทีมอย่าง แฮร์รี เคน สามารถฟิตลงเล่นในนัดชิงได้ ถึงแม้เคนจะเจ็บค่อนข้างบ่อยในฤดูกาลที่ผ่านมาแต่สถิติของเจ้าตัวถือว่าดีอยู่เสมอ เพราะว่าเคนลงเล่นให้กับต้นสังกัดไปแล้ว 39 นัด รวมทุกรายการ ยิงไป 24 ประตู และ 6 แอสซิสต์
อีกหนึ่งคนที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้นั้นคือ ซน ฮึง-มิน ดาวยิงสัญชาติเกาหลีใต้ ที่ฟอร์มร้อนแรงไม่มีหยุดเป็นหนึ่งนักเตะทีเด็ดของสเปอร์ส ลงเล่นให้กับต้นสังกัดในฤดูกาลนี้ไปทั้งหมด 47 นัด ยิง 20 ประตู กับอีก 10 แอสซิสต์
ส่วน ลูคัส มูร่า ที่ยิงแฮตทริก พาสเปอร์สพลิกล็อคผ่านเข้ารอบชิงมาได้ถือว่าฟอร์มดีถูกที่ถูกเวลาแบบสุดๆ โดยเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งหมด 48 นัด ยิงไป 15 ประตู และ 2 แอสซิสต์
มาดูความพร้อมของลิเวอร์พูลกันบ้าง ปีนี้เป็นปีที่สองติดต่อกันแล้วที่หงส์แดงสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จจากการพลิกนรกสามารถเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าได้แบบเหลือเชื่อสุดๆ โดยการมาเจอสเปอร์สในรอบชิงชนะเลิศถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายของหงส์แดงเลยซะทีเดียว ถึงแม้จะมีสถิติที่เหนือกว่าแต่สถิติของเจอร์เกน คล็อปป์ ในการคุมทีมรอบชิงชนะเลิศทั้งหมดผ่านมาแล้ว 6 นัดแพ้ทั้งหมด!!
นับตั้งแต่สมัยคล็อปป์ ยังคุมอยู่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แพ้ในรอบชิง 3 นัด คือ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-2 ต่อมา เข้าชิง ถ้วย เดเอ็ฟเบ-โพคาล 2 ปีติด แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 0-2 ในปี 2014 และ แพ้ โวล์ฟสบวร์ก 1-3 ในปี 2015 หลังจากที่คล็อปป์เข้ามาคุมลิเวอร์พูลพาต้นสังกัดเข้าชิง ถ้วยคาราบาวคัพ แพ้ แมนฯซิตี้ 1-3 ในปี 2016 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นลิเวอร์พูลก็เข้าชิง ถ้วยยูโรปา ลีก แพ้ เซบีญา 3-1 และปี 2018 เข้าชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก แพ้ มาดริด 3-1
แต่บทเรียนของคล็อปป์ในรอบชิงยูฟ่า ปีที่แล้วคงสอนอะไรได้หลายอย่างทั้งความพร้อมของทีม จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข อย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือ จุดอ่อนของโกลซึ่งปีนี้ลิเวอร์พูลมีโกลใหม่ที่ถือว่าอยู่ในระดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ นั้นก็คือ อลีสซง เบ็คเกอร์ ค่าตัว 65 ล้านปอนด์ ในปีแรกของเจ้าตัวถือว่าทำผลงานได้ดีจนสามารถคว้ารางวัลถุงมือทองคำ เก็บคลีนชีต 21 นัด นับเฉพาะในลีก และคล็อปป์ก็ได้เสริมแนวรุกในแดนกลางให้มีความหลากหลายมากขึ้น อย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่,ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า
กองหน้าที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในปีนี้ต้องบอกเลยว่า 3 ประสานในแดนหน้าของลิเวอร์พูลก็ยังร้อนแรงไม่หยุด เพราะผลงานของทั้ง ซาลาห์ ที่ลง 51 นัด ยิง 26 ประตู และ 13 แอสซิสต์ ส่วน มาเน่ ลงเล่น 49 นัด ยิง 26 ประตู 5 แอสซิสต์ และ เฟอมิโน่ ลงเล่น 47 นัด ยิง 16 ประตู และ 8 แอสซิสต์
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลจะเจอต้องสู้กับแรงกดดันที่มากกว่าเนื่องจากเข้าชิงสองติดปีและผลงานในปีนี้ต้องบอกว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรอบหลาย 10 ปีเลยก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลก็ยังไม่สามารถคว้าโทรฟี่ใดๆมาครอบครองได้ แม้จะมีคะแนนในลีกมากถึง 97 แต้ม แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยแรก แต่สเปอร์สเองที่ไม่ได้เสริมทัพใดๆเลยสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเช่นกัน ทำให้ถ้วยใบนี้มีความสำคัญอย่างมากของทั้ง 2 ทีม
คาดการณ์ 11 ตัวจริง ลิเวอร์พูล
ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์
กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์,โจเอล มาติป, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
กองกลาง : ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม
กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่
คาดการณ์ 11 ตัวจริง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ผู้รักษาประตู : อูโก้ โยริส
กองหลัง : คีแรน ทริปเปียร์ - แยน แฟร์ต็องเก้น - โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ - แดนนี่ โรส
กองกลาง : มุสซ่า ซิสโซโก้ - วิคเตอร์ วานยาม่า
กองกลางตัวรุก : เดเล่ อัลลี่ - คริสเตียน อีริคเซ่น - ซน เฮือง-มิน
กองหน้า : แฮร์รี่ เคน