สตีเว่น เจอร์ราด จากเด็กลูกหม้อหงส์แดง สู่กัปตันทีมตลอดกาล


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ย้อนชมประวัติและผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมของลิเวอร์พูล

บ่อนยก“เจอร์ราร์ด”เต็งหนึ่งคุมทีมหาก“คล็อปป์”วางมือ

“ลิเวอร์พูล” ทำสถิติไม่แพ้ใครในลีก 32 นัด

หลังจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 พ.ย. ปี ค.ศ. 2016 โดยเขาไม่ต่อสัญญากับแอลเอ แกแล็กซี่ ในศึกเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลด้านสภาพร่างกายที่เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีนัก 

วันนี้เราจะย้อนประวัติและความสำเร็จที่แฟนลิเวอร์พูลไม่เคยลืม สตีเว่น เจอร์ราร์ด เกิดวันที่  30 พฤษภาคม 2523 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล  ปัจจุบัน อายุ 40 ปี  สูง 1.83 ม.  เริ่มเรียนที่โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล  ตอนที่เจอร์ราร์ดอายุ 8 ขวบ สามารถเข้าทีมลิเวอร์พูล วายทีเอสและเซ็นเป็นนักเตะอาชีพกับลิเวอร์พูลในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 

ลงสนามครั้งแรกในสีเสื้อของ “ลิเวอร์พูล”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด สร้างชื่อเสียงและโด่งดังมากับ สโมสรลิเวอร์พูล โดย “สตีวี่จี” หรือที่ชาวไทยเรียกกันแบบสนิทสนมว่า “พี่เจิด” ลงสนามนัดแรกนามของ หงส์แดง ชุดใหญ่ วันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์นโรเวอร์ส โดยถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองแทน เวการ์ด เฮ็กเกม

ถัดมาปี 2000 ยุคของกุนซือเชราร์ด อุลลิเย่ร์ “พี่เจิด” ในวัย 20 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญและลงสนามให้กับลิเวอร์พูลอย่างสม่ำเสมอ โดยจับคู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ ในตำแหน่งกองกลาง และในปีเดียวกัน เจอร์ราร์ด ก็ประเดิมใบแดงแรก หลังไปทำฟาวล์กองหน้าของ ทีมร่วมเมืองอย่าง “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่เป็นระยะ

ทริปเปิ้ลแชมป์ครั้งแรก ในฤดูกาล 2000-2001

หลังจากสลัดอาการบาดเจ็บ และขึ้นมายึดตำแหน่ง 11 คนแรกในสนามได้สำเร็จเพียงไม่นาน “สตีวี่จี” โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเหนือกว่าผู้เล่นคนอื่นๆในรุ่นราวคราวเดียวกันจนคว้ารางวัล ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นจิ๊กซอสำคัญในการผงาดขึ้นคว้า 3 แชมป์ของลิเวอร์พูล ทั้ง ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ก่อนจะมาตอกย้ำความสำเร็จด้วยการฟาดแชมป์ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ ในปี 2001 ไปอีกหนึ่งรายการ

สวมปลอกแขนกัปตันทีมครั้งแรก ในปี 2003

บุญพาวาสนาส่ง ผนวกรวมกับความสามารถและความตั้งใจ ทำให้หนุ่มสเก๊าเซอร์ อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ขึ้นมาเป็นกัปตันทีมของ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ในปี 2003 แทนที่ของกองหลังร่างยักษ์ชาวฟินแลนด์ ซามี่ ฮูเปีย ด้วยความคาดหวังของทีมสต๊าฟโค้ช ว่าจะทำให้ เจอร์ราร์ด เติบโตขึ้นและก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต

หลังสวมปลอกแขนกัปตันทีม เจอร์ราร์ด ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำทั้งการบัญชาเกมระหว่างการแข่งขัน คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมยามหมดแรง รวมถึงให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมทีม แม้ว่าตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกมและต้องเข้าปะทะอยู่เสมอแต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับเพียง 2 ใบเหลืองเท่านั้นในฤดูกาล 2003-2004

2004-2005 ฤดูกาลแห่งความยิ่งใหญ่ “หงส์บินสูง” ภายใต้จอมทัพชื่อ “เจอร์ราร์ด”

ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หรือชื่อเดิม ยูโรเปี้ยนคัพ มาแล้ว 4 สมัย ในปี 1976–77, 1977–78, 1980–81 และ1983–84 หลังเวลาล่วงเลยผ่าน 21 ปี ในฤดูกาล 2004-2005 ลิเวอร์พูล หลุดเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก กับทีมบิ๊กเนมจากอิตาลี อย่างปีศาจแดง-ดำ เอซีมิลาน สมรภูมิในปีนี้อยู่ที่ สนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี

เอซี มิลาน ดีกรีแชมป์กัลโช ซีเรียอา ฤดูกาล 2003-2004 โชว์ฟอร์มสุดโหด จบครึ่งแรกด้วยการฝังลิเวอร์พูลไป 3-0 ก่อนที่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด จะมาจุดประกายความหวังด้วยการตีไข่แตก ก่อนที่ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และซาบี อลอนโซ่ จะยิงเพิ่มคนละหนึ่ง จนพาทีมตีเสมอได้สำเร็จ และจบด้วยการชนะจุดโทษของลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 5 ของสโมสร และสมัยแรกของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อย่างยิ่งใหญ่

2 ประตูแห่งความทรงจำ กัปตัน พาทีมคว้าแชมป์

ประตูแรกเกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-2005 ที่ประเทศตุรกี สตีเว่น เจอร์ราร์ด และลิเวอร์พูล โดนเอซี มิลาน นำอยู่ 3-0 ในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลัง กัปตันเจอร์ราร์ด จะขึ้นโขกประตูตีไข่แตก ระยะ 12 หลาจากเส้นประตู เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ หงส์แดง กลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่

ประตูที่สอง เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เจอร์ราร์ดสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนบอลขุนค้อนด้วยการซัดไกลระยะประมาณ 35 หลา ความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง ส่งบอลซุกตาข่าย ซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 3-3 ก่อนที่จะชนะด้วยการดวลจุดโทษและคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในที่สุด

กระทบต่อจิตใจ การจากไปของ เฟร์นานโด ตอเรส

ในช่วงขาลงของทั้ง ลิเวอร์พูล และศูนย์หน้าชาวสแปนิช อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส หลายฝ่ายคาดการกันว่า เอล นินโญ่ จะอำลาถิ่นแอนฟิลด์แน่นอน จนกระทั่ง ในวันที่ 31 มกราคม 2011 ตอร์เรส ตัดสินใจย้ายซบสิงห์ไฮโซ เชลซี ด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในอังกฤษ คือ 50 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,458 ล้านบาท

ตั้งแต่ปี 2007-2008 ที่ ตอร์เรส ย้ายมายังถิ่น แอนฟิลด์ ฤดูกาลแรก เจ้าตัวซัดไป 24 ประตู ขึ้นดาวซัลโว อันดับ 3 ของลีกเป็นรองเพียง โรนัลโด้ และอเดบายอ

ส่วนปี 2008-2009 เอล นินโญ่ ประสานงานเกมรุกร่วมกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้อย่างลงตัว และช่วยกันทำประตูให้หงส์แดง เป็นกอบเป็นกำ รวม 2 คน ซัดไป 30 ประตู พาลิเวอร์พูล จบอันดับ 2 ของลีก ขณะที่ในฤดูกาลถัดมา (2009-2010) ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 7 ก่อนที่ ตอร์เรส จะย้ายไป เชลซี ในช่วงฤดูหนาว ต้นปี 2011

ในปี 2014 ตอร์เรส เปิดใจเกี่ยวกับการย้ายออกจากลิเวอร์พูล ว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อตนมาก และในช่วงที่ตนใกล้จะย้ายออกจากลิเวอร์พูล สตีวี่จีได้เดินเข้ามาบอกกับตนว่า “ให้คิดเรื่องของตัวเองไว้ก่อน ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง อย่าไปคิดมาก” นอกจากนี้ ตอร์เรส เปิดเผยอีกว่า ช่วงที่ตนจะย้ายออกจากลิเวอร์พูล มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เพราะ เจอร์ราร์ด เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง ราวกับว่าเราทั้งคู่ถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน

แชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของ “สตีวี่จี” หลุดมือ

หลังการจากไปของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ลิเวอร์พูลก็อยู่ในช่วงตกต่ำมาตลอด 2-3 ปี กระทั้งในฤดูกาล 2013-2014 หลุยส์ ซัวเรส และแดเนียล สเตอร์ริจด์ สองกองหน้ารหัส SAS (ซัวเรสแอนด์สเตอร์ริจด์) ได้ช่วยกันสร้างปรากฎการณ์พาหงส์บินสูงอีกครั้ง ด้วยการช่วยกันยิงรวมถึง 52 ประตู

ขณะที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้อย่างเยี่ยมไม่แพ้ SAS ด้วยการยิง 13 ประตูและแอสซิสต์อีก 13 นอกจากนี้ เจอร์ราร์ดและซัวเรส ยังติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลจากการจัดอันดับของ เว็บไซต์เก็บสถิติชื่อดังอย่าง ฮูสกอร์ อีกด้วย

ลิเวอร์พูล ทะยานขึ้นจ่าฝูง และได้รับการคาดหมายว่า จะสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จ กระทั่งวันที่ 27 เมษายน 2014 เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 36 ของฤดูกาล ลิเวอร์พูล พลาดท่าเปิดบ้านแพ้ เชลซี 2-0 ก่อนที่จะบุกไปโดน คริสตัน พาเลซ ยิง 3 ลูกรวดท้ายเกมตีเสมอเป็น 3-3 และพลาดแชมป์ในฤดูกาลนั้นไปในที่สุด

แยกทางกับ “หงส์แดง” เริ่มต้นชีวิตใหม่กับ “แอลเอ แกแล็กซี่”

วันที่ 7 มกราคม ปี 2015 สโมรสรแอลเอ กาแล็กซี่ ประกาศคว้าตัว สตีเว่น เจอร์ราร์ด ร่วมทัพอย่างเป็นทางการ ด้วยระยะสัญญา 18 เดือน แต่จะย้ายมาร่วมทีมต่อเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014-2015 เสียก่อน

กระทั่งวันที่ 11 กรกฎาคม ปี 2015 เจอร์ราร์ด ลงสนามในสีเสื้อของ แอลเอ กาแล็กซี่ เป็นนัดแรก ซึ่งเป็นเกมกระชับมิตรกับสโมสรคลับ อเมริกา โดยลงเล่นใน 45 นาทีแรก ก่อนที่ แอลเอ จะเฉือนชนะไป 2-1 ก่อนจะประกาศเลิกเล่นหลังหมดสัญญากับ กาแล็กซี่ วันที่ 24 พ.ย. ปี 2016 ในวัย 36 ปี

 

TOP ข่าวกีฬา
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ