นายกฯอังกฤษ แนะกีฬาควรแข่งสนามปิดจนกว่าจะมีวัคซีน โควิด-19
รัฐบาลอังกฤษ จ่ออนุมัติให้แฟนบอลเข้าสนาม 1 ต.ค.
ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นโต้โผใหญ่ในการจัดทำแผนงานปรับโครงสร้าง และปฎิรูปพรีเมียร์ลีก โดยจะมีการเปลี่ยนมากมายเกิดขึ้นทั้ง ลดทีมจาก 20 เหลือ 18 ทีม, ยกเลิกการแข่งขันลีกคัพ และคอมมิวนิตี้ชิลด์ รวมถึงเปลี่ยนแปลงระบบการลงมติของสโมสรพรีเมียร์ลีก
แต่ล่าสุดเหมือนโครงการดังกล่าวจะไม่ถูกใจผู้นำของประเทศ เมื่อโฆษกส่วนตัวของ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาแถลงถึงเรื่องดังกล่าวว่า แผนงานดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โปรเจ็กต์ บิ๊ก พิกเจอร์” เป็นการลักลอบตกลงกันเองของบรรดาสโมสรใหญ่ และจะมีปัญหาในเรื่องในการบริหารงานตามมาอย่างแน่นอน อีกทั้งบางเรื่องเช่นแผนที่จะมอบเงินทุน 250 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 10,250 ล้านบาท เพื่อเป็นงบอุดหนุนให้ทีมในลีกล่างที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น ก็ดูเหมือนไม่จำเป็น เพราะในการประชุมร่วมกับ พรีเมียร์ลีก กับ อีเอฟแอล มาตลอดทั้ง 2 องค์กรก็ยืนยัน และให้คำมั่นสัญญาอยู่แล้วว่า จะไม่ปล่อยให้ทีมต่างๆ เข้าสู่ภาวะล้มละลายเพราะขาดทุนจากโควิด-19
โดยหลังจากนี้ทางรัฐบาลอังกฤษยังขอให้ พรีเมียร์ลีก และอีเอฟแอล ไปหารือกันอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมในเรื่องนี้ และจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับฟุตบอลอังกฤษ
ด้าน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เป็นสโมสรแรกในพรีเมียร์ลีก ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับโปรเจ็คส์ดังกล่าว จนต้องออกแถลงการณ์ยืนยันว่า สโมสรไม่ทราบเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะเป็นการคุยกันระหว่างสโมสรลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น
โดย เวสต์แฮม มองว่า แผนงานดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์กับสโมสรระดับกลาง ไปถึงสโมสรเล็ก โดยเฉพาะการลดทีมให้เหลือ 18 ทีม จะยิ่งทำให้แต่ละสโมสรมีรายได้ลดลงไปอีกเพราะเกมในบ้านจะหายไปอีก 2 เกม รวมถึงมองว่าแผนดังกล่าวน่าจะมีเพียงบรรดาทีม ท็อป 6 ที่ได้ประโยชน์เนื่องจากเมื่อเกมเตะน้อยลง พวกเขาก็สามารถไปโฟกัสกับเกมยุโรปมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถวางแผนอุ่นเครื่องในช่วงพรีซีซั่นเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าได้ง่ายกว่าเดิม
