Lamborghini Huracan STO กระทิงดุ 640 แรงม้า ปลุกความเร้าใจในชีวิต
Huracan STO ซูเปอร์คาร์ที่มีความดิบเถื่อนปลุกอารมณ์ความเร้าใจเมื่อได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยได้ดีมากแม้จะถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ (Lamborghini Huracan STO) รถยนต์ที่พละกำลังแรงม้าต่อน้ำหนักดีที่สุด ถูกนำมาลงสนาม พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา ให้ได้สัมผัสความดุดันของกระทิงดุคันนี้ในงาน “Lamborghini Huracán STO Track Day 2022” จัดขึ้นโดย เรนาสโซ มอเตอร์ (Renazzo Motor) ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย
Bridgestone ได้รับเลือกจาก Lamborghini ให้เป็นยางติดรถซุปเปอร์คาร์ Huracán STO
ก้าวแรกของแบรนด์ 'ลัมโบร์กินี' สู่ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร?
PPTV Online ได้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าวสัมผัสกับเจ้ากระทิงดุคันนี้ ที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะและความเร้าใจตั้งแต่แรกเห็น กับเสียคำรามอันไพเราะของขุมพลังเครื่องยนต์อันดุดัน
Huracan STO คือ ซูเปอร์คาร์ที่คิดออกมาแล้วว่าจะเป็นรถที่สามารถใช้จริงได้บนท้องถนนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเจอกับสภาพอากาศอย่างไร เพราะคุณจะสามารถเอาซูเปอร์คาร์คันนี้ออกไปขับแบบที่จะไม่ท้ายปัดฉวัดเฉวียด เพราะมีโหมดการขับขี่ใหม่ 3 โหมด ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันและในสนามแข่ง ได้แก่
Mode STO : ตัวรถจะถูกตั้งค่าให้เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วไปหรือบนถนนคดเคี้ยว ระบบ Lamborghini Veicolo Dinamica Integrata (LDVI) ถูกนำมาติดตั้งเพื่อช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างราบรื่นและธรรมชาติยิ่งขึ้น
Mode Trofeo : ตัวรถจะถูกตั้งค่าให้ตอบสนองกับการขับขี่บนสนามแข่งในพื้นผิวที่แห้ง ระบบ LDVI จะคอยจัดสรรแรงบิดให้ไปที่ล้อที่มีแรงยึดเกาะสูงสุดซึ่งทำงานควบคู่กับระบบ performance traction control ของรถ อีกทั้งระบบ Brake Temperature Monitoring (BTM) ใหม่จะคอยแจ้งสถานะอุณหภูมิของเบรกแบบเรียลไทม์
Mode Pioggia : ตัวรถจะถูกตั้งค่าให้คอยควบคุมระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบกระจายแรงบิด ระบบเลี้ยวล้อหลัง และระบบเบรก ABS ให้เหมาะสมกับพื้นผิวถนนที่เปียก โดยระบบ LDVI จะทำการวิเคราะห์แรงยึดเกาะของรถเพื่อถ่ายกำลังแรงบิดไปที่ล้อสูงสุดโดยไม่ลื่นไถลในทางตรงและระบบกระจายแรงบิดจะทำการกระจายกำลังไปยังล้อที่มีแรงยึดเกาะสูงสุดในขณะกำลังเข้าโค้ง
แม้ว่าจะมีโหมดการขับขี่ที่เหมาะสมกับในชีวิตประจำว่า แต่ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยของการขับขี่รถสมรรถนะสูงในสนามที่มีสภาพอากาศฝนตกลงมาเคลือบพื้นผิวสนาม ทำให้การสัมผัสสมรรถนะความดุดันของเจ้า Lamborghini Huracan STO เป็นไปได้อย่างมีข้อจำกัด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ซูเปอร์คาร์คันนี้แสดงศักยภาพออกมาได้พอสมควร
ขุมพลังเครื่องยนต์ V10 (NA) ที่มีพละกำลังสูงสุด 640 แรงม้า และแรงบิด 565 นิวตันเมตร ทำให้เป็นลัมโบร์กินีที่มีพละกำลังแรงม้าต่อน้ำหนักดีที่สุดเพียง 2.09 กิโลกรัมต่อแรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.0 วินาทีเท่านั้นและเบรกจาก 100-0 กม./ชม. ในระยะเพียง 30 เมตร 200-0 กม./ชม. ในระยะ 110 เมตรเท่านั้น เป็นสมรรถนะที่ดุดันเกินสนาม โดยความเร็วสุดทางตรงในวันนั้นสามารถทำได้อยู่ราว ๆ 200 กม./ชม. บวกลบเล็กน้อย นั่นเป็นความเร็วที่ทำให้หัวใจเต้นสั่นระรัวเรียกร้องเพราะอยากจะเติมคันเร่งเรียกความแรงให้มาได้มากกว่านั้น
อาการพยศเล็กน้อยจากพื้นสนามที่เปียกลื่นทำให้ได้อารมณ์การควบคุมรถซูเปอร์คาร์คันนี้ด้วยความสามารถของผู้ขับขี่ที่ได้สั่งการควบคุมอย่างสนุกหลังพวงมาลัย มีอาการลื่นไถลเล็ก ๆ เวลาสาดโค้ง พอให้ได้ใช้ฝีมือแก้อาการพร้อมกับระบบความปลอดภัยและโหมดการขับขี่ที่เข้ามาทำให้ได้อารมณ์เร้าใจอยู่บ้าง
นอกจากนั้น การถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลของ Lamborghini Huracan STO สู่พื้นถนนถูกถ่ายทอดผ่านยาง Bridgestone Potenza ที่ได้พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับรถซุปเปอร์คาร์ Huracán STO ของ Lamborghini ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทเพื่อพัฒนายางสมรรถนะสูงสำหรับรถซูเปอร์คาร์คันนี้ และเป็นครั้งแรกของ Lamborghini ที่เลือกใช้ยาง Bridgestone มาใส่ไว้ใน Lamborghini Huracan STO
Lamborghini Huracan STO เป็นผลงานความตั้งใจจากแผนก Squadra Corse’s ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งอย่าง Lamborghini Huracán Super Trofeo EVO และ GT3 EVO ในรูปแบบที่เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนสาธารณะ โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาที่มาพร้อมหลักอากาศพลศาสตร์ตามแบบฉบับรถแข่ง ช่วยสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
กว่า 75% ของตัวถังรถใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาแข็งแรงตั้งแต่ ฝากระโปรงหน้า ซุ้มล้อ และกันชนหน้า ของตัวรถมาดีไซน์ใหม่ให้เป็นชิ้นเดียวกัน ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้เป็นอย่างดี ส่วนที่เหลือราว 25% ใช้วัสดุอลูมีเนียมอัลลอย ทำให้สามารถรีดสมรรถนะความแรงออกมาได้เป็นอย่างดี โดยมีน้ำหนักตัวรถเปล่าเพียง 1,339 กิโลกรัม
นอกจากนั้น การจัดการอากาศของ ซูเปอร์คาร์ คันนี้ ยังถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ ช่องดักอากาศฝากระโปรงหน้าช่วยให้อากาศไหลเวียนผ่านตัวรถได้ดีและระบายความร้อนเครื่องยนต์พร้อมสร้างแรงกดให้กับรถมากยิ่งขึ้นอีกด้วย Huracan STO ได้ติดตั้งสปลิตเตอร์หน้าใหม่ที่มีช่องระบายอากาศไปยังใต้ท้องรถจนถึงดิฟฟิวเซอร์หลังที่ช่วยลดการต้านลมเมื่อต้องการทำความเร็วในทางตรง
เช่นเดียวกับ ซุ้มล้อหลังของตัวรถถูกพัฒนามาจากรถแข่ง One Make Race อย่าง Super Trofeo EVO ช่วยให้ตัวรถลู่ลมมากยิ่งขึ้นและในขณะเดียวกันก็ยังสร้างแรงกดด้านท้ายของตัวรถ พร้อมช่องดักอากาศ NACA ที่ถูกติดตั้งบนซุ้มล้อหลังนั้นทำหน้าที่ดักอากาศเข้าไปในเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างต่อเนื่องแม้ในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานาน
ฝาเครื่องยนต์ของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่และติดตั้งช่องดักอากาศด้านบนเพื่อช่วยระบายความร้อนในห้องเครื่องยนต์ บริเวณในห้องเครื่องได้รับการติดตั้งครีบลำเลียงอากาศ เพื่อการจัดสรรให้อากาศสามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ สปอยเลอร์หลังของ Huracán STO สามารถปรับตั้งได้ 3 ระดับ เพื่อให้สมดุลตามแต่ละรูปแบบของสนาม และ ช่องดักอากาศเบรกหน้าใหม่ถูกดีไซน์เพื่อระบายความร้อนให้กับระบบเบรกแบบใหม่อย่าง CCM-R brakes ที่ถูกพัฒนาจากรถ F1 โดย Brembo
การออกแบบภายในของ Huracán STO ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตด้วยการนำเอาวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้บริเวณแผงประตูภายใน เบาะแบบสปอร์ตพร้อมแผ่นหลังจากวัสดุคาร์บอน และนำเอาวัสดุอัลคันทาร่ามาใช้เพื่อให้สัมผัสที่กระชับมือยิ่งขึ้น
พรมบริเวณพื้นรถถูกแทนที่ด้วยแผ่นอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ระบบเซฟตี้เบลท์ 4 จุดที่ยึดไว้กับคานไทเทเนียมด้านหลังเบาะที่พัฒนาร่วมกับ Akrapovic ถูกนำเข้ามาเพิ่มความปลอดภัยตามแบบฉบับรถแข่ง
ฝากระโปรงหน้าของตัวรถถูกออกแบบใหม่ให้สามารถเก็บหมวกกันน็อคได้ทำให้ Huracán STO พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสนามแข่ง ระบบ HMI ถูกพัฒนาจาก Huracan EVO เพื่อบอกค่าสำคัญต่างๆ ให้แก่ผู้ขับขี่เช่น การทำงานของระบบ LDVI รวมไปถึงอุณหภูมิของระบบเบรกอีกด้วย
สรุป กระทิงดุอย่างเจ้า Huracan STO เป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่มีความดิบเถื่อนปลุกอารมณ์ความเร้าใจเมื่อได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยได้ดีมาก แม้จะถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่เชื่อเถอะ ... เมื่อไรที่ได้ไปนั่งหลังพวงมาลัยซูเปอร์คาร์คันนี้ก็คงปลุกความอยากให้เอาไปขับในสนามทุกทีไป นับเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของ Lamborghini ที่แตกต่างเมื่อเทียบกับซูเปอร์คารืในกลุ่มเดียวกัน มาพร้อมราคาค่าตัว 29.99 ล้านบาท