Checklist: 8 จุด ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล ช่วงปีใหม่ 2566
การหมั่นตรวจสภาพรถเป็นประจำ ช่วยให้เราสามารถรีบแก้ไขความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที เพื่อความปลอดภัยในระหว่างเดินทางต่อตัวเราเองและผู้ร่วมทริป
ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงกำลังเตรียมแผนการเดินทางในวันหยุดยาว ไม่ว่าจะเป็นการออกไปท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก่อนการเดินทางก็คือ เจ้าของรถควร ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จนทำให้ทริปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขต้องมาสะดุดในวันหยุดยาวได้
ตรวจเช็กสภาพรถฟรี ก่อนเดินทางปีใหม่ 66 เริ่มวันนี้จนถึง 31 ธ.ค.65
แจกพิกัดทั่วไทย “กางเต็นท์ฟรี” ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2023
ฟรี “ตรวจเช็กสภาพรถ” ก่อนเดินทางช่วงปีใหม่ 2566 ที่ศูนย์บริการทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม หลายคนคิดว่า การตรวจเช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกล จำเป็นต้องไปที่ ศูนย์ตรวจสภาพรถยนต์ หรือ ศูนย์เช็กสภาพรถ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่แท้จริงแล้ว เจ้าของรถสามารถเช็กสภาพรถของตนเองเบื้องต้นได้ง่ายๆ ใน 8 จุดสำคัญที่ควรจะต้องดูแลความเรียบร้อยก่อนเดินทางไกลดังต่อไปนี้
1. ตรวจเช็กสภาพรถ แบตเตอรี่
เพราะ แบตเตอรี่รถยนต์ คือหัวใจหลักของการสตาร์ทรถยนต์เนื่องจากเป็นตัวทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับระบบเครื่องยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการพลังงานไฟฟ้า กุญแจสำคัญในการตรวจเช็กแบตเตอรี่รถยนต์ก็คือ จุดเชื่อมต่อแบตเตอรี่ เพราะหากการเชื่อมต่อของแบตเตอรี่ไม่ดี ระบบการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ตลอดจนถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถก็ทำงานได้ไม่ราบรื่นไปตามด้วย
เราสามารถดูแลจุดเชื่อมต่อแบตเตอรี่ได้ง่ายๆ โดยทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ด้วยการเช็ดสิ่งสกปรกอย่างคราบขี้เกลือสีขาวบนขั้วแบตเตอรี่ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
วิธีทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่
- ใช้แปรงลวดขัดจนกว่าคราบกัดกร่อนจะหลุดไป
- ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกโดยเริ่มจากสายไฟขั้วลบก่อน
- ทำความสะอาดทั้งขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ด้วยน้ำยาทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่โดยเฉพาะ
- ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบต่างๆ ออกให้สะอาด
- ใช้ผ้าแห้งเช็ดขั้วต่อและขั้วแบตเตอรี่ให้แห้งสนิท
- ประกอบกลับตามเดิมและขันขั้วต่อแบตเตอรี่ให้แน่น
นอกจากนั้น เราควรตรวจสอบสภาพตัวก้อนแบตเตอรี่ว่า ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ พร้อมทั้งเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด รวมถึงความแน่นของขั้วแบตเตอรี่และฉนวนหุ้มสายที่ต่อเข้ากับวงจรอีกด้วย
2. ล้อรถยนต์ ยางรถยนต์
ล้อและยางรถยนต์ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนหลักที่ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น ยางระเบิดขณะขับขี่ เป็นต้น ซึ่งการเช็กส่วนล้อก็ควรเริ่มต้นสังเกตที่ตัวล้อว่า ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่คด ไม่เบี้ยว น็อตล้อยังขันแน่น ขณะที่ส่วนยางรถยนต์ก็ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลายงา ไม่นูนหรือบวมจนผิดปกติ มีลมยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนด ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมเช็กความลึกร่องดอกยางและควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อร่องดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตรหรือที่เรียกกันว่า “ดอกยางหมด” ก่อนออกเดินทางด้วย
3. ตรวจเช็กสภาพรถ ระบบช่วงล่างรถยนต์
ถัดจากล้อรถยนต์ขึ้นมาก็เป็น ระบบช่วงล่าง ซึ่งเป็นศูนย์ถ่วงของการขับขี่รถยนต์ ถึงแม้จะค่อนข้างยากสักนิด แต่เจ้าของรถก็สามารถตรวจสอบระบบช่วงล่างด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยการตรวจเช็กคราบน้ำมันบริเวณแกนโช้คว่า รั่วหรือไม่ พร้อมทั้งเติมน้ำมันเกียร์และน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังจากนั้น ให้ ลองขับบนถนนเรียบทางตรงและสังเกตพวงมาลัยว่าตรงไหม มีเสียงแปลกปลอม หรือความผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติข้อใดข้อหนึ่งก็ควรนำไปแก้ไขตามจุดสังเกตดังนี้
วิธีตรวจสอบระบบช่วงล่างรถยนต์
- หากระหว่างออกตัวหรือกำลังหยุดรถทั้งเดินหน้าและถอยหลัง มีเสียงดังกึกแบบเบาๆ หรือขับขี่ในทางตรงแล้ว พวงมาลัยมีอาการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา จำเป็นต้องนำรถไปตั้งศูนย์ถ่วงล้อใหม่
- หากมีเสียงดังขณะขับขี่ไปบนถนนขรุขระหรือลูกระนาด ลูกหมากปีกนกอาจจะมีปัญหา
- หากขับขี่ในทางตรง แต่รู้สึกว่าล้อไม่ตรง ไม่สามารถควบคุมให้รถนิ่งได้ หรือถ้าขับขี่ไปบนถนนขรุขระแล้วสะท้านขึ้นมาจนถึงพวงมาลัย แสดงว่าลูกหมากแร๊คหรือยางรัดแร๊คมีปัญหา ต้องรีบให้ช่างแก้ไขโดยด่วน
- ขับขี่ไปบนถนนขรุขระแล้วพวงมาลัยดึง และหลวม มีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากคันชักอาจจะมีปัญหา
4. ระบบเบรก ระดับน้ำมันเบรก
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ระบบเบรค เป็นอีกหนึ่งระบบสำคัญของตัวรถ อีกทั้งยังรักษาชีวิตของผู้โดยสารได้ในเวลาฉุนเฉิน ดังนั้น ระบบเบรคจึงต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยผ้าเบรกจะต้องไม่บางเกินไป ความหนาของเนื้อผ้าเบรกรวม Backing Plate (แผ่นเหล็กประกบหลังผ้าเบรก) ไม่น้อยกว่า 7 มม. นอกจากนั้น จานเบรกต้องไม่คด ไม่สั่น จานเบรกมาเจียนหน้าสัมผัสให้เรียบเสมอกัน และมีความหนาไม่ต่างจากของเดิมมากนัก นอกจากนั้น ควรมีการเปลี่ยนผ้าเบรกและน้ำมันเบรกตามกำหนด
อีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ การตรวจเช็กปริมาณน้ำมันเบรก ซึ่งจะแตกต่างจากการตรวจเช็กของเหลวอื่นๆ ในระบบ เนื่องจากระบบน้ำมันเบรกเป็นระบบปิด น้ำมันเบรกจะอยู่ภายในระบบโดยไม่มีการระเหยออกหรือถูกใช้ไปเหมือนของเหลวอื่นๆ อย่างน้ำมันเชื้อเพลิง หรือน้ำยาเช็ดกระจก ดังนั้น ถ้าปริมาณน้ำมันเบรกลดลง อาจจะมีสาเหตุมาจากผ้าเบรกสึก หรือมีจุดที่ระบบเบรกรั่วที่ต้องตรวจสอบและซ่อมแซมโดยด่วน
จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กระบบเบรก
- น้ำมันเบรก ต้องอยู่ระดับ Full สีใส ไม่ดำคล้ำ
- หม้อลมเบรกหลังกระปุกน้ำมันเบรก อยู่ในสภาพดี
- ชุดระบบเบรค ABS สายน้ำมันเบรก อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน
- จานเบรก ควรมีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวง และขนาดไม่บางเกินไป
- แนวร่องกลางผ้าเบรก ควรมีความลึกที่เหมาะสม
- ชุดคาลิเพอร์เบรคประกบผ้าเบรคกับจานเบรคไว้ได้แนบสนิท
- ระยะเบรกจากแป้นเบรก ต้องมีความลึกแบบพอดีๆ
5. ระบบไฟและใบปัดน้ำฝน
ส่วนหน้าของรถเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญเนื่องจากช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ของเราดีขึ้นทั้งในทุกสภาพเส้นทาง โดยเฉพาะในส่วน ระบบไฟ ที่เป็นผู้ช่วยสำคัญในการเดินทางยามค่ำคืนทั้งไฟหน้า, ไฟท้าย ,ไฟตัดหมอก, ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉิน จะต้องใช้งานได้ครบทุกจุด แสงสว่างคมชัด ไม่มัว
นอกจากนั้น อุปกรณ์ที่ช่วยปรับทัศนวิสัยให้กระจกหน้าอย่าง น้ำยาฉีดกระจกหน้ารถ และ ใบปัดน้ำฝน ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก โดยเจ้าของรถจำเป็นต้องเติมน้ำฉีดกระจกหน้ารถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และถ้าหากพบว่า ใบปัดน้ำฝนไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่ เพราะการใช้ใบปัดน้ำฝนที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพเป็นอันตรายต่อการขับรถยนต์ในช่วงฝนตกหนักเป็นอย่างมากนั่นเอง
วิธีการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน
- ยกใบปัดน้ำฝนขึ้นจากกระจกรถยนต์
- กดแถบล็อกเพื่อเอาใบปัดน้ำฝนอันเก่าออก
- ใส่ใบปัดน้ำฝนอันใหม่
- กดแถบล็อกกลับที่เดิม
6.น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่อง ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นของระบบกลไกต่างๆในเครื่องยนต์ ประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีจะต้องผ่านการใช้งานไม่เกินระยะทางที่คู่มือกำหนด ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม และขณะเดินทางก็ควรจะมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตรในยามฉุกเฉิน ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่องตามขั้นตอนดังนี้
วิธีการตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- ต้องจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง ก่อนเปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาและเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัด
- เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนเพื่อดูระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมัน
- ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้ง พร้อมตรวจสอบระดับน้ำมันที่ปลายก้านวัด
- ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” ถือว่าปกติ
7. หม้อน้ำและระบบระบายความร้อน
ระบบระบายความร้อน ถือเป็นอีกหนึ่งระบบที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์ เพราะขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน จะเกิดความร้อนสะสมขึ้น บวกกับความร้อนจากภายนอก ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์น็อคหากระบบระบายความร้อนมีปัญหาโดยจุดที่จำเป็นต้องตรวจเช็กในระบบระบายความร้อนประกอบไปด้วยปริมาณน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำควรอยู่ในระดับปกติ จุดต่างๆ ตามหม้อน้ำ ท่อยาง และข้อต่อระบบหล่อเย็นว่า ไม่มีรอยรั่วซึม รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำและมอเตอร์ว่า สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญ ควรเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำทุกๆ 2 ปีเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของน้ำยานั่นเอง
8. แผ่นกรองอากาศและระบบแอร์
แผ่นกรองอากาศ เป็นชิ้นส่วนที่จะช่วยปกป้องเครื่องยนต์จากสิ่งสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ดังนั้น การปล่อยให้แผ่นกรองอากาศอุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งการตรวจสอบและดูแลแผ่นกรองอากาศรถยนต์นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจสอบ พร้อมกับดูดเศษสิ่งสกปรกภายในตู้ออก หรือถ้าจำเป็นการควรเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
นอกจากนั้น ควรจะต้องตรวจดูแผ่นกรองแอร์ภายในห้องโดยสารพร้อมทั้งปริมาณ น้ำยาแอร์ ด้วยว่า ยังสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ เพราะระบบดังกล่าวจะคอยดูแลอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อมทั้งดักกรองสิ่งสกปรกต่างๆ จากภายนอกรถ เช่น เขม่าและควันเสีย เป็นต้น โดยสามารถเช็กแผ่นกรองแอร์ได้ตรงหลังช่องเก็บของหน้ารถ จากนั้นลองเปิดแอร์ในรถตามปกติในระดับความเย็นประมาณ 23-25 องศา จากนั้นให้ใช้มืออังที่บริเวณช่องปรับอากาศ ถ้ารู้สึกถึงความเย็นก็แปลว่า ระบบแอร์สามารถใช้งานได้ปกตินั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการ ตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล เพราะรถก็ต้องการการดูแลใส่ใจและอาจมีจุดเสื่อมสภาพที่เราไม่คาดคิดได้ ดังนั้น การหมั่นตรวจสภาพรถเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงก่อนเดินทางไกลจะช่วยให้เราสามารถรีบแก้ไขความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที เพื่อความปลอดภัยในระหว่างเดินทางต่อตัวเราเองและผู้ร่วมทริป
ที่มา : Carsome