เปิด 3 ปัจจัยเติบโตของธุรกิจแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในไทย
SCB EIC คาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยจะขยายตัวปีละ 17.6% หนุนธุรกิจแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดการณ์ ธุรกิจแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม S-Curve ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
นิสสัน ฟันธง! ตั้งแต่ปี 2571 ต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าเท่ากับรถยนต์สันดาปภายใน
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก Q1/65 โต 120% แม้ต้นทุนแบตเตอรี่จะพุ่งสูง
สอดคล้องกับ Bloomberg ที่คาดการณ์ว่าความต้องการแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 26% ต่อปี (ระหว่างปี 2022-2030)
ปัจจุบันไทยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ระดับ Gigafactory แห่งแรกในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังการผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งนอกจากจะเสริมศักยภาพการเติบโตของรถ EV แล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนและสนับสนุนความยั่งยืน
นอกจากนี้ EIC ยังมองว่าปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจแบตเตอรี่ในประเทศ ได้แก่
- การเติบโตของยอดขายรถรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น การอุดหนุนราคา การลดภาษีนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% อีกทั้ง สถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและมีความผันผวน จะเป็นแรงจูงใจให้คนหันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดย EIC คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยจะขยายตัวปีละ 17.6% (ระหว่างปี 2022-2030)
- กระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนตั้งแต่กระบวนการผลิตรถยนต์ไปจนถึงขั้นตอนการขับขี่ ทั้งนี้จากข้อมูลของสถาบันยานยนต์ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 64% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายใน
- การสนับสนุนธุรกิจแบตเตอรี่ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ขยายนโยบายลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ จาก 2 ปี เป็น 5 ปี และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ซึ่งหากตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ 50% เพิ่มอีก 5 ปี ทำให้บริษัทที่อยู่ในธุรกิจแบตเตอรี่มีความต้องการขยายกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าจับตามองของธุรกิจแบตเตอรี่ในระยะสั้น คือปัญหา “Greenflation” ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และแร่ธาตุต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม Net Zero ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ราคาลิเธียมไฮดรอกไซด์ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ ณ สิ้นปี 2021 ขยายตัวสูงถึง 311% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 32,650 ดอลลาร์สหรัฐ/เมตริกตัน เทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2016-2020) อยู่ที่ราว 15,130 ดอลลาร์สหรัฐ/เมตริกตัน เท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการใช้แบตเตอรี่เพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในขณะที่อุปทานมีปัญหาขาดแคลนแร่ลิเธียม จากการขาดการลงทุนในเหมืองลิเธียมทำให้การผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ รวมไปถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เหมืองลิเธียมบางแห่งในยูเครนต้องหยุดการผลิต ส่วนรัสเซียไม่สามารถส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์จากการคว่ำบาตรจึงเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาพลังงาน และแร่ธาตุต่าง ๆ ทะยานสูงขึ้น
ขณะที่ Bloomberg ประเมินว่าในปี 2022 อุปสงค์และอุปทานของลิเธียมไฮดรอกไซด์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 771,365 และ 437,558 เมตริกตัน ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดขาดแคลนลิเธียมไฮดรอกไซด์ราว 333,807 เมตริกตัน ซึ่งในปัจจุบันมีการวิจัยเพื่อหาวัตถุดิบอื่น ๆ มาแทน ลิเธียมไอออน เช่น โซเดียมไอออน
สำหรับประเทศไทย ถือเป็นความท้าทายสำคัญเพราะยังต้องนำเข้าวัตถุดิบสำคัญ เช่น แร่ลิเธียม นิกเกิล ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ทั้งนี้ผู้ผลิตแบตเตอรี่ในไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตขั้วตั้งต้น ผลิตส่วนประกอบ และประกอบชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ซึ่งอยู่ใน value chain กลางน้ำ หากผู้ประกอบการแบตเตอรี่สามารถทำ Backward integration โดยเข้าร่วมลงทุนหรือเป็นพันธมิตรกับบริษัทผลิตแร่ หรือทำ R&D ขั้วแคโทด/ขั้วแอโนด/สารละลายอิเล็กโทรไลต์ เพื่อลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น รวมถึงลดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ที่จะมีความต้องการสูงในอนาคต
ครม. ไฟเขียว "เมืองการบินภาคตะวันออก" เป็นเขตการค้าเสรี
กองสลากเดินหน้าออกสลาก 3 ตัว ดึงเงินหวยใต้ดิน วุ่นผู้ค้าจะฟาดกันเอง