“ติดเชื้อHIV” ไม่เท่ากับ “ติดเอดส์” แต่อันตรายถึงชีวิตหากไม่รู้จักป้องกัน
หลายคนยังมีความเชื่อว่า ติดเชื้อ HIV เท่ากับติดเอดส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝั่งกับคนไทยมานาน แต่นั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด และที่แน่นอนคือทุกคนล้วนมีโอกาสติดโรคดังกล่าวได้ เพราะจากสถิติพบว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ 97% เกิดจากการเพศสัมพันธ์อย่างไม่ป้องกัน รู้ทันโรคก่อนวาเลนไทน์ 2566 นี้
จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV ปี 2564 จำนวนราว 520,00 คน และคาดว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 6,500 คนต่อประชากรทั้งหมด โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 97% เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน นอกจากนี้จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (Multiple Indicator Cluster Survey: MICS) ในปี 2562 พบว่า คนไทยมีทัศนคติการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี 26.7% ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามและสร้างความเข้าใจเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค
มีเซ็กซ์ปลอดภัยไม่ติดเชื้อ HPV เชื้อก่อมะเร็งปากมดลูก-มะเร็งช่องคลอด
ก่อนวาเลนไทน์ 2566 ! รู้จัก 6 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ป้องกันได้!
ทำความรู้จัก เชื้อไวรัส HIV
เชื้อไวรัส HIV (Human Immunodeficiency Virus)เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคน คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4 cells) หรือ ทีเซลล์ (T cells) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ เมื่อเชื้อไวรัส HIV ทำลายเม็ดเลือดขาวจนมีปริมาณไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุให้เกิดอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง และแน่นอนว่าโรคแทรกซ้อนอื่นๆ อีกมากมายก็จะตามมา ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ โรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายเช่น โรคเอดส์ วัณโรค ปวดอักเสบ รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งนั้นก็ง่ายกว่าคนอื่นอีกด้วย
HIV ไม่เท่ากับเอดส์ จริงหรือไม่ ?
เป็นเรื่องจริง เพราะ โรคเอดส์ หรือAIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome)เกิดจากการติดเชื้อ HIV ในระยะสุดท้าย ซึ่งความแตกต่างของผู้ป่วย 2 ประเภทนี้อยู่ที่ระยะการลุกลามของเชื้อไวรัส HIV เพราะเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสแล้วนั้น เราจะเรียกว่า ผู้ติดเชื้อ HIV แต่จะยังไม่ใช่ผู้ป่วยโรคเอดส์ เพราะผู้ติดเชื้อ HIV นั้นจะยังมีภูมิคุ้มกันมากพอสมควร แต่จำเป็นต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ลดความเสี่ยงต่างๆ ที่รวมไปถึงการพักผ่อน โภชนาการที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับอย่างเพียงพอ แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ติดเชื้อ HIV นั้นมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงจนกลายเป็นภูมิกันคุ้มบกพร่องจนโรคต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย การดูแลตัวเอง รวมไปถึงการรักษานั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เราถึงจะเรียกว่า “ผู้ป่วยโรคเอดส์” ฉะนั้นผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป
ระยะการติดเชื้อ HIV
- ระยะเริ่มแรก เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการชัดเจนนัก แต่สามารถแพร่เชื้อผู้อื่นได้ อาการที่พบในช่วงนี้บางรายมีอาการหนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว มีฝ้าขาวในช่องปาก ซึ่งอาการดังกล่าวนั้นคล้ายไข้หวัด จะ เป็นๆ หายๆ อยู่ประมาณ 1-2อาทิตย์
- ระยะที่ 2 เริ่มมีตุ่มตามร่างกาย มีฝ้าขาวในช่องปาก อาการคล้ายโรคงูสวัด ในระยะนี้อาการจะแสดงอย่างชัดเจนแล้ว และอาการดังกล่าวก็จะเป็นๆ หายๆ ตามความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยส่วนมาก ผุ้ติดเชื้อในระยะที่ 2 นี้จะทรงตัวอยู่ประมาณ 5-10 ปี ก่อนที่ภูคิคุ้มกันจะลดลงต่ำลง
- ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงซึ่งเป็นระยะของโรคเอดส์ ทำให้มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ร่างกายจะอ่อนแอลง เพราะติดเชื้อได้ง่ายมาก มีไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย น้ำหนักลง มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ไปจนถึงเกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ อาทิ มะเร็งทวานหนัก มะเร็งน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น
ก่อนวาเลนไทน์ 2566 ! รู้จัก 6 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ป้องกันได้!
ความเสี่ยงใดบ้างที่ทำให้ติดเชื้อไวรัส HIV
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศระหว่างชายหญิง หรือเพศเดียวกันก็ตาม ก็มีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้เท่ากันหมด โดยมีข้อมูลการระบาดวิทยาพบว่า เชื้อไวรัส HIV นั้นมีการส่งต่อกันโดยการมีเพศสัมพันธ์มากถึง 98%
- การใช้ของร่วมกันหรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยโดยตรง อาทิ น้ำอสุจิ น้ำเหลือง น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะเหงื่อนั้นมีปริมาณเชื้อ HIV อยู่น้อยกว่าแต่ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน สิ่งของที่มีความเสี่ยงและไม่ควรใช้ร่วมกัน อาทิ กรรไกรตัดเล็บ มีดโกนหนวด เป็นต้น
- การใช้เข็มร่วมกัน กิจกรรมนี้มักพบในผู้ที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้นเลือด แล้วใช้เข็มร่วมกัน โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HIV นั้นสามารถแพร่เชื้อได้ แม้ไม่แสดงอาการ
- มารดาติดเชื้อ HIV และส่งต่อโรคมายังลูก มีโอกาสประมาณ 25 % หรือ 1 ใน4 แต่กรณีที่หากหญิงตั้งครรภ์ทราบและได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจนดีแล้ว โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อต่ำลงมาก น้อยกว่า ร้อยละ 1 (น้อยกว่า 1 ใน 100) และเมื่อทารกเกิดมาให้งดนมมารดา และให้ทารกรับประทานยาต้านไวรัสอย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้
ติดเชื้อ HIV รักษาได้หรือไม่ ?
ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเพื่อใช้รักษาการติดเชื้อHIV ที่จะช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับมาเป็นปกติ หายจากโรคเอดส์ได้ ทำให้ร่างกายแข็งแรงใกล้เคียงกับคนปกติได้ แต่ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนไม่มากที่รักษาหายขาด แต่เป็นการรักษาด้วยวิธีการพิเศษ เช่น ปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นต้น ดังนั้นในปัจจุบันเป้าหมายการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี มุ่งเน้นคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ป่วยเป็นเอดส์ รวมทั้ง ไม่ถ่ายทอดเชื้อไปที่ผู้อื่น โดยเน้นการกินยาต้านไวรัสต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกวัน
ที่น่ากังวลคือ เด็กและวัยรุ่นที่ติดเชื้อในช่วงแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ เพราะโดยทั่วไปใช้เวลาอีก 8-10 ปี จึงจะมีอาการแสดงของโรคเอดส์ ดังนั้น แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองเอชไอวี ในการตรวจสุขภาพประจำปี มีการตรวจคัดกรองการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น เนื่องจากการตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้ นอกจากนี้หากวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือ เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิซ หนองใน ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งการตรวจทำได้อย่างรวดเร็วใช้เวลารอผลตรวจเพียง 2 ชั่วโมง ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนสามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งนี้เยาวชนอายุ 13-18 ปี ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี สามารถไปรับตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องขอคำยินยอมจากผู้ปกครอง
การป้องกันเชื้อ HIV
- ใส่ถุงยางอนามัย(อย่างถูกต้อง) นอกจากจะป้องกัน HIV แล้วยังป้องกันโรคจากเพศสัมพันธ์ อย่าง เช่น ซิฟิลิซ หนองใน ด้วย
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น (รักเดียวใจเดียวดีที่สุด)
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติดทุกชนิด โดยเฉพาะการใช้เข็ดฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ก่อนแต่งงาน หรือมีบุตร ควรมีการตรวจร่างกาย และตรวจเลือด
ทั้งนี้ HIV ไม่ติดต่อผ่านน้ำลาย ดังนั้นคุณจะไม่ติดเชื้อHIV ผ่านการจูบ การกินอาหารหรือน้ำดื่มร่วมกัน หรือ การใช้ช้อนส้อมร่วมกัน รวมไปถึงการกอด การจับมือ การไอ การจาม การใช้ห้องน้ำร่วมกัน ก็ไม่ใช่ช่องทางติดต่อของเชื้อHIV
โรค HIV นี้นอกจากเป็นภัยต่อตัวเองแล้ว ยังมีผลต่อคู่ของเราที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ความเสี่ยงในการติดเชื้อจึงมีโอกาสสูงกว่าคนอื่น จึงไม่ควรละเลยที่จะดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและการหมั่นตรวจสุขภาพเพื่อการวางแผนครอบครัวและป้องกันกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล,กรมควบคุมโรค และ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
Safe Sex วาเลนไทน์ ป้องกันท้องก่อนวัย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1 ธันวาคม “วันเอดส์โลก” คนไทยใช้สิทธิตรวจ HIV ฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง