อากาศร้อนทำลายปอด ระวังโรคปอดกำเริบ! เผยกลุ่มเสี่ยงแนะวิธีคลายร้อน
หน้าร้อนของไทยที่มีอุณหภูมิสูง 40+ นอกจากปัญหาสุขภาพต่างๆแล้ว ปอดยังต้องได้รับการดูแล! โดยเฉพาะผู้ป่วยและผู้สูงอายุ!
ทางการแพทย์ระบุเอาไว้ว่า อากาศร้อนไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพปอดอย่างเดียว แต่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะในร่างกายของคนเราทั้งหมด เพราะเมื่ออากาศร้อนขึ้น ร่างกายก็จะทำงานหนักขึ้น มีการเสียน้ำ เสียเหงื่อ และเสียเกลือแร่มากขึ้น ทำให้ทั้งปอด หัวใจ ผิวหนัง ความดันโลหิต เข้าสู่สภาวะตื่นตัว
จึงหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น มากกว่าฤดูอื่นๆ
ผลที่ตามมาก็คือ ร่างกายจะอ่อนเพลียได้ง่าย เหนื่อยเร็ว รู้สึกอยากพักจากการทำงานบ่อยๆ ยิ่งถ้าดื่มน้ำน้อย ทานอาหารไม่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ง่ายกว่าปกติ

อีกหนึ่งข้อสำคัญที่หน้าร้อนทำให้ร่างกายเราอ่อนแอ ก็เพราะช่วงเวลากลางวันจะยาวนานกว่าปกติ สว่างเร็ว มืดช้า การนอนหลับพักผ่อนของคนเราจึงสั้นลง และเมื่อพักผ่อนไม่เต็มที่นั้นเอง
หากจะเจาะลึกถึงผลกระทบที่สภาพอากาศร้อนส่งผลต่อสุขภาพปอดโดยตรงนั้น ก็คือการทำให้โรคปอดทุกชนิดกำเริบได้ง่ายมากขึ้น เพราะพื้นฐานของคนที่เป็นโรคปอดจะไม่ชอบการหายใจแรงและเร็ว เพราะปอดจะทำงานหนักกว่าปกติ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคปอด หรือผู้สูงอายุจึงมีโอกาสเสี่ยงอันตรายได้มากขึ้นจากการที่ปอดต้องทำงานหนักขึ้นเพราะอากาศร้อนมากเกินไปนั่นเอง
โรคปอดเสี่ยงกำเริบง่ายในช่วงร้อนจัด
- กลุ่มโรคอุดกั้นทางเดินหายใจ
หอบหืด ถุงลมโป่งพอง หลอดลมโป่งพอง ถือเป็นโรคในกลุ่มเดียวกัน คือโรคกลุ่มอุดกั้นทางเดินหายใจ ดังนั้น การที่อากาศร้อนทำให้เราต้องหายใจเร็วขึ้นมากเท่าไร ก็จะยิ่งอันตราย เพราะจะเร่งให้ผู้ป่วยหายใจเข้าเยอะแต่หายใจออกไม่ได้ จึงเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตจากการหายใจเร็วจนหายใจไม่ออกได้เลย
- กลุ่มโรคพังผืดปอด
ผู้ป่วยโรคปอดกลุ่มนี้จะมีสภาพปอดที่ไม่สมบูรณ์ ใช้งานได้ไม่ 100% เต็ม เพราะถูกพังผืดรบกวน โดยปอดของผู้ป่วยอาจทำงานได้เพียงแค่ 50-60% เท่านั้น ทำให้โดยพื้นฐานแล้ว คนไข้กลุ่มนี้จะหายใจเร็วกว่าคนปกติอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเจอสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น ก็จะทำให้ยิ่งหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก จะเข้าไปกระตุ้นให้ปอดอักเสบมากขึ้น
- กลุ่มโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้หลอดลม ภูมิแพ้จมูก เป็นโรคที่สามารถเกิดการกำเริบ และมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยอาการแสดงที่พบได้ก็คือ คัดจมูก น้ำมูกไหล รู้สึกหนักหัว ทำให้คนไข้มีร่างกายอ่อนแอได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งหากไม่ได้เกิดอันตรายจากโรค ก็อาจเกิดอันตรายจากการประสบอุบัติเหตุเพราะร่างกายอ่อนแอลง
ดูแลตัวเองให้ปอดปลอดภัยจากอากาศร้อน
- วางแผนหลีกเลี่ยงอากาศร้อน
สำหรับคนที่ต้องออกจากบ้าน ไปทำงาน ไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น จ่ายตลาด ซื้อของ ทำธุระในหน้าร้อน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ควรที่จะจัดตารางเวลาในการออกจากบ้านให้ดี ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แดดร้อนจัด ซึ่งบ้านเราจะเริ่มร้อนตั้งแต่ 8.30 น. ไปจนถึง 16.00 น. หรือบางวันห้าโมงเย็นก็ยังร้อนอยู่
หากเป็นไปได้ ควรวางแผนการออกจากบ้านก่อน 8 โมงเช้า และกลับหลังห้าโมงเย็น
- เปิดแอร์-พัดลมเวลาอยู่ในบ้าน
แม้อาจจะรู้สึกว่าเปลืองไฟ แต่เพื่อป้องกันสุขภาพร่างกายให้ปลอดภัย สำหรับห้องที่ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคปอดอยู่ ก็ควรเปิดแอร์หรือพัดลมเอาไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนมากๆ ระหว่าง 11 โมงถึงประมาณบ่าย 3 โมง ควรทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นสู้กับอากาศร้อนได้
หากไม่มีแอร์ ก็สามารถเปิดพัดลมร่วมกับการเปิดหน้าต่างให้ระบายลมร้อนภายในห้องได้ดีขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
เพราะอากาศร้อน ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่ายมาก ดังนั้นจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 1.5-2 ลิตร แต่สำหรับผู้ป่วยที่คุณหมอให้มีการจำกัดการดื่มน้ำ ก็จำเป็นต้องปรึกษาคุณหมอ ว่าสามารถดื่มได้มากน้อยเท่าไร และพยายามดื่มให้ได้มากที่สุดเท่าที่คุณหมออนุญาตให้ดื่มได้
- ใช้ผ้าเย็นช่วยลดอุณหภูมิร่างกาย
ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่หลายคนมองข้าม แต่ให้ผลดีต่อร่างกายอย่างมาก โดยหากรู้สึกร้อนจัด สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ควรใช้ผ้าเย็นหรือน้ำแข็งเช็ดตามใบหน้าและลำคอเพื่อคลายความร้อน เพราะบริเวณใบหน้ากับลำคอเพราะเป็นตำแหน่งที่เราจะรู้สึกร้อนได้มากที่สุด และทำให้เราคลายความอ่อนเพลียได้มากที่สุดเมื่อได้รับความเย็น อีกทั้งควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาบางเพื่อคลายร้อนอีกทางนึงด้วย
- เลี่ยงกิจกรรมเสียเหงื่อ
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคปอด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เสียเหงื่อ ทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้น ถ้าเลี่ยงได้ยากแนะนำ ว่าควรกระจายงาน แบ่งกิจกรรมที่ต้องทำเป็นส่วนๆ อย่าหักโหมเกินไป
- เตรียมยารับมือเหตุฉุกเฉิน
สำหรับผู้ป่วยโรคปอดนั้น ในช่วงหน้าร้อนควรตรวจสอบดูยาให้มีเพียงพอพร้อมใช้อยู่เสมอ โดยเฉพาะยาฉุกเฉิน เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะตอนกลางคืนซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรมีเบอร์โทรฉุกเฉินของโรงพยาบาล หรือคนใกล้ชิดติดไว้ให้เห็นเด่นชัด หาได้ง่าย ให้ผู้ป่วยและผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ทันเมื่อเกิดเหตุ
หากพบเห็นอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย หายใจติดขัด หรือมีความผิดปกติใดๆ ก็ไม่ควรชะล่าใจปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และวางแผนการรักษาเป็นทางออกที่ดีมากกว่า!
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3