สัญญาณ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปวดข้อตอนเช้า ข้อติดตึงบ่อย ต้องระวัง!
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ภาวะเรื้อรังที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ลุกลามอวัยวะอื่นเสี่ยงพิการได้ แพทย์เผยสัญญาณโรค ปวดข้อแบบไหนนานแค่ไหนต้องรีบรักษา
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ไม่ใช่แค่โรคข้อธรรมดา แต่คือภาวะเรื้อรังที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ และเข้าโจมตีข้อต่อตัวเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่ข้อ และอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้ เช่น ตา กล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาท หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถเกิดได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวไปจนถึงวัยสูงอายุ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำ และอาจจะรุนแรงถึงขั้นทำให้พิการได้

ถึงแม้ว่าโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะเป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อย และเป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบเรื้อรังแต่ยังมีโรคข้ออักเสบแบบอื่นที่มีอาการใกล้เคียงกับโรครูมาตอยด์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความสับสนว่าจริงๆ แล้วอาการที่กำลังเผชิญอยู่ใช่โรครูมาตอยด์หรือไม่ ทางที่ดีผู้ป่วยควรได้รับการตรวจและวินิจฉัยโรคจากแพทย์ เนื่องจากการรักษาโรครูมาตอยด์กับโรคข้ออักเสบเรื้อรังแตกต่างกัน
สาเหตุของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- พันธุกรรม หากมีประวัติในครอบครัว จะมีความเสี่ยงมากขึ้น
- ฮอร์โมน ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 2-3 เท่า
- การติดเชื้อหรือสิ่งแวดล้อม อาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาด
- การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดและอาการรุนแรงของโรค
สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
- ปวดข้อ บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะตอนเช้า
- ขยับข้อแล้วติดหรือตึง
- รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักลด
- มีไข้ต่ำๆ หรือเบื่ออาหาร
**หากมีอาการเหล่านี้เกิน 6 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางทันที
ในปัจจุบันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยังไม่มีวิธีที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เป็นเพียงแค่การบรรเทาอาการเจ็บปวด และการยับยั้งการอักเสบของข้อเท่านั้น โดยวิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละคน
แนวทางควบคุมข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ยาต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวด บวม
- ยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค เช่น Methotrexate
- ยาชีววัตถุต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน
- กายภาพบำบัด เพิ่มความแข็งแรงข้อ ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับดูแลสุขภาพ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ใยอาหาร ผัก ผลไม้ สารต้านอนุมูลอิสระ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม ลดปริมาณไขมันอิ่มตัวละน้ำตาล
- ออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ เช่น โยคะ ว่ายน้ำ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพและติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันโรครูมาตอยด์ ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด ทำให้การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นการรักษาตามอาการ และยับยั้งการอักเสบของข้อไม่ให้ลุกลาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับประทานยาอยู่ตลอด แม้ว่าอาการของโรคจะสงบลงแล้ว เพื่อไม่ให้อาการโรครูมาตอยด์กลับมากำเริบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโลเกษตร และ โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์