สังเกตอาการ “แพ้ภูมิตัวเอง (SLE)” โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
โรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่หลายคนเป็นแต่ยังไม่เข้าใจถึงโรคนี้ จึงปล่อยปละละเลยไม่ทำการรักษา สุดท้ายเป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศด้วย คนดังหลายคนป่วยเป็นโรคนี้ ทั้งนักร้องพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่ทำให้คนไทยรู้จักกับโรคนี้ หรือจะเป็นสาวเซเลน่า โกเมซ ศิลปินขวัญใจวัยรุ่นชาวอเมริกันที่ต้องพักงานไปนานเพื่อรักษาตัว และอาจไม่รู้ตัวเพราะสัญญาณ และอาการขึ้นมันเล็กน้อยจนทำให้เราไม่วิตกกังวล แต่อันที่จริงสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่นำไปสู่โรคที่อันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ศบค. เตือน ผู้ป่วยSLE หากติดโควิด-19 เสี่ยงเสียชีวิต
ผลการวิจัยใหม่เผย ไวรัสซิกาอาจทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิตนเอง
โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคร้ายที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ แต่มีข้อบ่งชี้แสดงอาการป่วยในหลาย ๆ อวัยวะร่วมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันหรือต่างช่วงเวลาก็ได้ มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ของแต่ละอาการเป็นระยะ และอาการรุนแรงของโรคที่แตกต่างกัน อาจมีข้อบ่งชี้โรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE ได้
โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยภูมิคุ้มกันของคน ๆ นั้นทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเองจนเกิดการอักเสบและสามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่วร่างกาย พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในช่วงวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์ (อาจจะมีสารพันธุกรรมบางชนิดที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง) ส่วนปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อภายในร่างกาย แสงแดด เป็นต้น หากป่วยเป็นโรคนี้ร่างกายจะมีการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Antinuclear Antibody ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ชัดเจน
อาการของโรค
ปวดข้อ
เป็นไข้ตั้งแต่ไข้ต่ำ ๆ จนถึงไข้สูง
อ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร
เกิดผื่นผิวหนังตามใบหน้า แขน ขา ที่อยู่บริเวณนอกเสื้อผ้า
ผมร่วง
มีสภาวะเลือดจาง เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ถ้าโรครุนแรงอาจมีเม็ดเลือดแดงแตก ปอดอักเสบ ไตอักเสบ
การตรวจวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำการรักษาเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติของผู้ป่วย การตรวจร่างกายพบรอยโรคร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์หัวใจและปอด ฯลฯ
การรักษา โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาที่สม่ำเสมอช่วยทำให้โรคสงบได้ โดยแพทย์จะเริ่มทำการรักษาจากการประเมินความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยเป็นว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละคนอาการจะมีความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน หลังจากนั้นจึงวางแผนการรักษาและการให้ยา ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เกิดการอักเสบของร่างกายในหลายระบบ แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิเพื่อคุมโรค ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละคนจึงได้ยาแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค
ข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการออกแดด
ลดและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อด้วยการทานอาหารที่สะอาด
รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดหรือเพิ่มยาเอง
มาตรวจหรือพบแพทย์ตามนัดอย่าให้ขาด เพราะการพบแพทย์และได้รับรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองไม่มีวิธีป้องกันได้ 100% แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด ลดโอกาสในการติดเชื้อ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคนี้ก็ควรปฏิบัติตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบแพทย์ตามเวลาที่นัดหมายทุกครั้ง เพื่อให้การติดตามอาการ การควบคุมอาการของโรคเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ