วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก ประสิทธิภาพเท่ากับแบบฉีดหรือไม่ ?
ไข้หวัดใหญ่ยังระบาดสูง ปี 2025 ป่วยกว่า 4.6 แสนราย แพทย์เผยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก (LAIV) ป้องกันได้ดี ไม่ต้องฉีด เหมาะอายุ 2–49 ปี ลดการแพร่เชื้อในชุมชน
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในทุกช่วงอายุและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ ในประเทศไทยพบการระบาดได้ตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ตัวเลขจากกรมควบคุมโรคในปี 2025 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีคนป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 464,891 ราย พบทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อัตราป่วย 716.18 ราย ต่อประชากรหนึ่งแสนคน อาการรุนแรงจนเสียชีวิต 53 ราย (อัตราป่วยเสียชีวิต 0.011%) รายงานป่วยเพิ่มสัปดาห์ต่อสัปดาห์ร่วม 10,000 ราย
การได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จึงเป็นมาตรการสำคัญในการลดอัตราการติดเชื้อ ลดการนอนโรงพยาบาล และการเสียชีวิตได้ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่ เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น ที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ แบบพ่นทางจมูก ไม่ต้องใช้เข็มฉีด และได้รับอนุมัติการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก คืออะไร?
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก (Live Attenuated Influenza Vaccine : LAIV) คือ การให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นแบบพ่นทางจมูก ไม่จำเป็นต้องฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ วัคซีนชนิดพ่นจมูกนี้ยังคงต้องให้แพทย์ หรือกุมารแพทย์ เป็นผู้สั่งยาและให้วัคซีน ยังไม่สามารถซื้อมาพ่นเองได้ โดยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 2 - 49 ปี
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพอย่างไร?
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก มีใช้ทั่วโลกมากว่า 20 ปี และมีการใช้ไปแล้วมากกว่า 200 ล้านโดส ข้อดีที่โดดเด่นของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก มีดังนี้
- ไม่ต้องใช้วิธีฉีด วิธีการให้วัคซีนเป็นแบบพ่นทางจมูก นับว่าเป็นวิธีที่บริหารตัวยาได้ง่าย และเพิ่มการยอมรับวัคซีนได้ดีขึ้น เนื่องจากไม่จำเป็นต้องฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ สำหรับบุคคลที่กลัวเข็มฉีดยา กลัวเจ็บ แต่วัคซีนชนิดพ่นจมูกนี้ ยังคงต้องให้แพทย์ หรือกุมารแพทย์ เป็นผู้สั่งยาและให้วัคซีน ยังไม่สามารถซื้อมาพ่นเองได้
- วัคซีนมีประสิทธิภาพสูง จากการวิเคราะห์ข้อมูล (meta-analysis) พบว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็กและวัยรุ่นสูงถึง 88% นอกจากนี้การศึกษาเปรียบเทียบยังพบว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพดีกว่าวัคซีนแบบฉีด ชนิดเชื้อตาย (TIV) ถึง 54.9% ลดการนอนโรงพยาบาลได้ 63%
- มีการศึกษาพบว่า ภูมิคุ้มกันของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก จะอยู่ได้นานถึง 12 เดือน ในขณะที่วัคซีนแบบฉีดจะเริ่มลดลงในช่วงเดือนที่ 4 - 6
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก ช่วยลดการแพร่ระบาดในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สูงที่สุดและสามารถแพร่เชื้อได้นานกว่าผู้ใหญ่ การให้วัคซีนในกลุ่มนี้จึงช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนและลดการระบาดได้
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า โดยวัคซีนจะเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ จึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งในเยื่อบุทางเดินหายใจ (IgA) และในเลือด รวมถึงภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ที่จำเพาะต่อโรคได้ดีกว่าวัคซีนแบบฉีดชนิดเชื้อตาย การตอบสนองของ T-cell ยังคงอยู่นานอย่างน้อย 1 ปี
ขนาดการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิดพ่นจมูก
- เด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี - 8 ปี
- รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่น 1 หรือ 2 โดส* 1 โดส (0.2 มิลลิลิตร)**
- ในกรณีที่ให้ 2 โดส ให้วัคซีนแต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
- เด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี – ผู้ใหญ่ 49 ปี
- รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่น 1 โดสปริมาตร 0.2 มิลลิลิตร**
หมายเหตุ :
* 1 หรือ 2 โดส ขึ้นอยู่กับประวัติการได้รับวัคซีนตามคำแนะนำการให้วัคซีนประจำปี เพื่อป้องกันและควบคุมไข้หวัดใหญ่ของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
** พ่นจมูกข้างละ 0.1 มิลลิลิตร
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังรับวัคซีน
- อาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นอาการเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น มีน้ำมูกไหล คัดจมูก หรือไข้ ซึ่งสามารถหายได้เอง
- การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูกจะรู้สึกเย็น เพราะละอองจะเล็กกว่ายาพ่นจมูก
ปัจจุบันสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยและสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้แนะนำการให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง โดยมีวัคซีนให้เลือกทั้งชนิด วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก สำหรับผู้ที่มีอายุ 2-49 ปี และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
ทั้งนี้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก ได้รับการออกแบบให้เป็นชนิด cold-adapted virus และ temperature sensitive ซึ่งหมายความว่าจะเจริญเติบโตได้เฉพาะในอุณหภูมิที่ต่ำอย่างในโพรงจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น จึงปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดโรคเมื่อเข้าสู่ร่างกายส่วนอื่นที่มีอุณหภูมิสูงกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (ศรีนครินทร์)