หมอกฤตไท "เพจสู้ดิวะ" แจ้งข่าวเศร้า ผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน
ก่อนหน้านี้หลายคนรู้จักกับหมอ หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ หลังเผยเรื่องราว ที่พบว่าตนเองป่วยเป็น "มะเร็งปอด" เมื่อ 10 พ.ย.2565 ในวัยเพียง 28 ปี ก่อนจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษา และเขียนหนังสือ "สู้ดิวะ"
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 5 พ.ย.66 นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล หรือหมอหนุ่ม ผู้ป่วยมะเร็งปอด ระยะที่ 4 ได้ออกมาแชร์เรื่องราว และอาการป่วยของตัวเอง ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก Krittai Tanasombatkul และหนังสือ "สู้ดิวะ"
อย่างไรก็ตาม มีการอัปเดตว่าหมอหนุ่ม อาการไม่ค่อยดี มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ จนไม่สามารถร่วมงานแจกลายเซ็นงานหนังสือได้
หมอเพจ "สู้ดิวะ" อัปเดตรักษามะเร็งปอด พ้อเวลาเหลือน้อยทุกที ห่วง PM2.5 กระทบเด็กรุ่นหลัง
แพทย์เตือน มะเร็งภัยร้ายใกล้ตัว แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี
โดยระบุว่า ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ใครมีอะไรอยากพูดอยากบอกผมเชิญได้เลย ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ
มีพื่อนๆ และผู้ที่ติดตามเพจ สู้ดิวะ ได้เข้ามาร่วมให้กำลังใจหมอหนุ่มผ่านการกดไลน์และคอมเมนต์ให้กำลังใจ พร้อมทั้งส่งขอให้สู้กับโรคร้าย
ขณะเดียวกันยังโพสต์อีกว่า
“ผมคงไม่ได้ไปดู NBA ผมคงไม่ทันได้เข้าไปอยู่ในบ้าน อรสิริน Belive คงไม่ทันได้เจอพี่เพียวอีก จากนี้ฝากบ้าน กพีม ฝากครอบครัวด้วยนะครับ ขอบคุณจากใจให้กับทุกคนที่ช่วยดูแลด้วยครับ”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 หมอกฤตไท อัปเดตการรักษา ระบุว่า หลังได้รับการฉายแสงที่สมองและหลัง หลายรอบ ได้รับคีโมแล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมากมาย การได้รับยาสเตียรอยด์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน ทำให้ต่อมหมวกไตทำงานบกพร่อง หมอต้องเจอก้อนเนื้อก้อนใหม่ ขนาดใหญ่
รวมถึงยังมีอาการปวดที่กระดูกและซี่โครง ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันที่หนังสือ สู้ดิวะ วางแผงขายหรือไม่ แต่เจ้าตัวกล่าวว่า สนใจเพียงแค่ว่า ตัวแทนความคิดของหมอได้เกิดขึ้นมาแล้ว
สำหรับคุณหมอกฤตไท เป็นที่รู้จักของสังคมหลังออกมาแชร์เรื่องราวชีวิตที่กำลังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
แต่กลับมาพบว่าป่วยมะเร็งปอด ที่ก่อนหน้านั้นก็ดูแลร่างกายอย่างดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งคุณหมอได้เขียนเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์แก่สังคม และการมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายในเพจสู้ดิวะ ภายหลังได้เขียนหนังสือออกมา กลายเป็นหนังสือขายดีอีกเล่ม และยังคงถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไปในชีวิตด้วยรอยยิ้มเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : สู้ดิวะ