ไขข้อสงสัย “บุหรี่ไฟฟ้า” ช่วยเลิกบุหรี่หรือไม่ และทำไมไม่ถูกกฎหมาย?
ไขข้อสงสัยเรื่อง “บุหรี่ไฟฟ้า” กับนักรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ชื่อดังระดับโลก ว่าเป็นตัวช่วยเลิกบุหรี่จริงหรือไม่ และทำไมถึงไม่ควรถูกกฎหมาย
การสูบบุหรี่ ทำให้คนตายก่อนเวลา ซึ่งคร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วในแต่ละปีถึง 7.1 ล้านคน คิดเป็นวันละ 19,452 คน ชั่วโมงละ 811 คน นาทีละ 14 คน หรือ 1 คนในทุก ๆ 4 วินาที
เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมอง โรคปอดเรื้อรัง มะเร็งปอด โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เบาหวาน และวัณโรค
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ “บุหรี่ไฟฟ้า” กลายเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอย่างมากถึงภัยอันตราย มีทั้งผู้ที่แสดงความคิดเห็นทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ทำหมันบุหรี่ไฟฟ้า! สธ.ยันไม่สนับสนุนให้ถูกกฎหมาย ป้องกันสุขภาพคนไทย
คกก.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฯ ยืนมาตรการห้ามนำเข้า-ขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศ
ซึ่งต่างหยิบยกข้อมูลออกมาสนับสนุนจนสังคมเกิดความสับสนว่าควรจะเชื่อ หรือจะปฏิบัติตัวอย่างไรกันแน่
เพื่อไขข้อสงสัยทุกประเด็นเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จะมาตอบทุกคำถาม มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
บุหรี่ไฟฟ้า คือ อะไร?
บุหรี่ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้กลไกฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบไปด้วยสารเคมีต่าง ๆ โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป
แต่ด้วยบุหรี่ไฟฟ้ามีไอน้ำ หรือไม่เผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป ทำให้หลายคนมองว่าอัตรายน้อยกว่า ศ.นพ.ประกิต ย้ำว่า ไอน้ำจากบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหมือนกับการหายใจเอาไอน้ำปกติอย่างสิ้นเชิง เพราะไอน้ำต้มจากกาน้ำ มีแต่น้ำสะอาด ไม่มีส่วนประกอบของสารเคมีอื่น หรือถ้ามีก็น้อยมาก ๆ ส่วนบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากจะมีนิโคตินที่เป็นสารเสพติดตัวเดียวกันกับที่มีบุหรี่แล้ว ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ สารปรุงกลิ่นรส สารที่ทำให้น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนเป็นไอละอองฝอยขนาดเล็ก นอกจากนี้ เมื่อเจอความร้อน จากการตรวจขดลวดโลหะในอุปกรณ์สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายในตลาด พบว่าโลหะหนักจากขดลวดจะค่อย ๆ หลุดลอยออกมาอีกด้วย
ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าไม่เผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป เป็นความจริงว่าทำให้ผู้สูบลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารที่เป็นอันตรายจากการเผาไหม้บางตัว เช่น น้ำมันดิบ หรือคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและโรคระบบทางเดินหายใจ แต่สารประกอบอื่น ๆ ที่กล่าวไปข้างต้นก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ไม่แพ้กัน
ดังนั้นแล้ว ความเชื่อที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่า หรือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่าบุหรี่ธรรมดา จึงไม่เป็นความจริง ซึ่งตรงกับที่ ดร.วินายัก โมฮาน ปราสาด ผู้อำนวยการโครงการด้านการควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ยืนยันเองด้วยว่า ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ แสดงว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ปกติ เตือนอาจทำให้เด็กและเยาวชนติดบุหรี่
สูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยเลิกบุหรี่ธรรมดา
“บุหรี่ไฟฟ้าได้รับการผลิตขึ้นมา ตอนแรกหวังว่าจะใช้ช่วยคนเลิกสุบบุหรี่ธรรมดา แต่ผ่านมากว่า 10 ปี งานวิจัยกลับพบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ธรรมดา ซ้ำยังเสี่ยงกลับมาสูบอีกแถมยังเลิกยาก”
นี่คือคำพูดของ ศ.นพ.ประกิต ที่ได้เห็นผลงานวิจัยใหม่จากอเมริกา ที่ได้สนับสนุนทุนโดยองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (US FDA) ซึ่งมีกระบวนการทำอย่างรอบคอบที่สุด
โดยงานวิจัยชิ้นนี้ พบว่า คนสูบบุหรี่ธรรมดาที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้ตัวเองเลิกสูบบุหรี่ในการใช้ตามปกติ จะเลิกสูบบุหรี่ธรรมดาได้น้อยกว่า คนที่ใช้หมากฝรั่งนิโคติน หรือยาอื่น
นอกจากนี้ คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ยังมีอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทนการสูบบุหรี่ธรรมดาทดแทนต่อไป มากกว่าคนที่เลือกใช้วิธีอื่นในการเลิกบุหรี่
ไม่เพียงเท่านั้น คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเลิกน้อยกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดา เพราะความเชื่อที่ว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่า และยังไม่เป็นที่น่ารังเกลียดของสังคมเหมือนบุหรี่ธรรมดา ทำเอาผลวิจัยของเยาวชนไทย ในคนที่ติดบุหรี่ธรรมดา 70% เลิกสูบไม่ได้ตลอดชีวิต 30% ส่วนที่เลิกได้ต้องใช้เวลาถึง 21 ปี
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในคนไม่เคยสูบบุหรี่
สำหรับนักสูบบุหรี่ไฟฟ้าหน้าใหม่ แม้จะเพิ่งลอง แต่ก็ให้โทษที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่ากัน ทีมนักวัจิยจากมหาวิทยาลับแห่งชาติออสเตรเลีย ทบทวนงานวิจัยเกือบ 200 ชิ้น พบภัยอันตรายของหน้าใหม่ ดังนี้
- นักสูบบุหรี่ไฟฟ้าหน้าใหม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3 เท่า ที่จะหันไปสูบบุหรี่ธรรมดา
- ยังไม่รู้ว่าสารเคมีในบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอย่างไร เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือดอย่างไร
- การใช้บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนอายุน้อยที่มีอายุ 18-24 ปี ดังนั้นผู้ปกครองจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก คือ ไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, ให้ความรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ และ บอกให้ลูกรู้และเข้าใจว่าทำไมที่บ้านถึงไม่ยอมรับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด
ทำไมบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ควรถูกกฎหมาย?
ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2565 กลับพบว่า มีคนไทยสูบถึง 78,000 คน โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน และมักซื้อผ่านช่องทางออนไลน์
ซึ่งส่วนที่ขายออนไลน์ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะลดลง ดังนั้นหากให้ขายได้เมื่อไร แน่นอนว่ากฎหมายย่อมต้องห้ามบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการใช้สารปรุงแต่งกลิ่นรสชนิดต่าง ๆ เพื่อลดความเย้ายวนต่อเด็กและเยาวชนบุหรี่ที่ใช้สารปรุงแต่งกลิ่นรสที่เขาชื่นชอบ แต่เมื่อไม่มีกลิ่นที่เขาชอบ แน่นอนว่าก็จะยังมีการลักลอบขายเหมือนเดิม
“แม้มีกฎหมายห้ามขาย ก็ยังมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่ถ้าให้ขายได้อย่างถูกกฎหมาย บุหรี่ไฟฟ้าจะยิ่งระบาดมากกว่านี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ซึ่งมีแนวโน้มการติดบุหรี่ไฟฟ้า เหมือนคนติดบุหรี่ธรรมดา ที่ส่วนใหญ่จะเลิกไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะเป็นการเสพติดนิโคตินเหมือนกัน ดังนั้นเราจะต้องไม่เพิ่มคนสูบหน้าใหม่” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
“ศ.นพ.ประกิต” ผู้อยู่เบื้องหลังการควบคุมยาสูบไทย
สำหรับ ผู้คลายคำตอบทุกข้อสงสัยให้ผู้อ่านในครั้งนี้ คือ “ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ” เป็นผู้ที่หลายคนมักนึกถึงเมื่อพูดถึงการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ เพราะมักจะปรากฏบนหน้าสื่อต่าง ๆ ให้ได้เห็น เนื่องจากไม่เพียงแต่จะเป็นประธานมูลนิธิรณงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เท่านั้น ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่าย เพื่อควบคุมการใช้ยาสูบของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Tobacco Control Alliance :SEATCA) และเป็นสมาชิกคณะที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านยาสูบหรือสุขภาพขององค์การอนามัยโลกด้วย
ที่สำคัญ ล่าสุดยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สำหรับผู้ที่สร้างผลงานทางสาธารณสุขที่โดดเด่น หรือ “Dr. Lee Jong-Wook Memorial Prize for Public Health 2022” ซึ่งเป็นคนไทยหนึ่งในสองคน ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ จากผลงานการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติมาอย่างยาวนานกว่า 36 ปี
โดยมีผลงานการขับเคลื่อนที่โดดเด่นมากมาย อาทิ การวางรากฐานนโยบายภาษียาสูบเพื่อสุขภาพ, การต่อสู้กับการออกกฎหมายและมาตรการควบคุมยาสูบของประเทศไทย จนประเทศไทยได้เป็นประเทศกำลังพัฒนาแรก ๆ ที่ออกกฎหมายควบคุมยาสูบ “พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ได้สำเร็จ รวมไปจนถึงการผลักดันให้เกิด "พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่", " พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ" และ เครือข่ายควบคุมยาสูบทั่วประเทศ