จากข้อมูล ที่พบเป็นข่าว ฃว่า มีการไปยื่นเรื่องร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีทั้งเรื่องหุ้นสื่อ ITV ที่ร้องโดย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โดยนายเรืองไกร มองว่า เรื่องนี้นายพิธา ขาดคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
ซึ่งเรื่องหุ้นสื่อนี้ นายสนธิญา สวัสดี ก็ยื่นร้องเรียนเช่นกัน โดย ขอให้กกต.ตรวจสอบ นายพิธา ถือครองหุ้นในบริษัทสื่อสารมวลชน อาจเข้าข่ายขัด กฎหมายการเลือกตั้ง ส.ส.และ กฎหมาย พรรคการเมือง
เลือกตั้ง 2566 : ส่งร่าง MOU ถึงพรรคร่วมแล้ว ยังไม่ลงรายละเอียด ม.112 รอตกผลึก 22 พ.ค.
เลือกตั้ง 2566 : "ศรีสุวรรณ" ยื่นกกต. สอบ "พิธา" ปมดราม่างานศพพ่อ
รวมถึงมองว่า นายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องรับรองคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล แต่เมื่อขาดคุณสมบัติเสียเอง จะส่งผลทำให้การรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครพรรคก้าวไกลทุกคนเป็นโมฆะหรือไม่
ส่วนอีก 3 เรื่องที่เรารวบรวมมา คือ กรณีที่นายศรีสุวรรณ ไปร้องเรียน กกต. เรื่องที่นายพิธา ให้สัมภาษณ์เรื่องการถูกควบคุมตัวช่วงรัฐประหาร ซึ่งนายศรีสุวรรณ บอกว่า เข้าข่ายเป็นการจูงใจ ให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ซึ่งเรื่องการเดินทางกลับจากต่างประเทศช่วงรัฐประหารของนายพิธา อันนี้ นายเรืองไกร ก็ร้องเรียนเหมือนกัน บอกว่า พฤติกรรมการให้สัมภาษณืของนายพิธา เข้าข่าย หาเสียงด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
และอีกเรื่องที่นายเรืองไกร ร้องเรียน คือ ร้องต่อป.ป.ช. ว่า นายพิธา เข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สิน เพราะ เมื่อไปดูการยื่นบัญชีทรัพย์สิน อ้างว่ามี หลายประเด็นที่น่าสงสัย เช่น กรณีนายพิธา แจ้งว่ามีคู่สมรส และคู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด และนายพิธา เคยถือหุ้น เคยร่วมก่อตั้งและลงลายมือชื่อไว้ด้วย แต่นายพิธาไม่แสดงรายได้ รายจ่าย หรือหุ้น ของคู่สมรสต่อ ป.ป.ช. อาจเป็นการปกปิดบัญชีเงินลงทุนของคู่สมรสหรือไม่
อีกกรณีคือ นายพิธานำอาคารของน้องชายมูลค่า 15 ล้าน มาแสดงในบัญชีทรัพย์สินของตนเอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ เรื่องอยู่ในการพิจารณาของกกต. และ ป.ป.ช.
นายเรืองไกร กิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ พร้อมโชว์หลักฐานใหม่ อ้างว่า เป็นหลักฐานที่ยังไม่เคยเปิดที่ไหน เป็นข้อมูลที่เขา คัดมาจากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ITV ระบุรายชื่อผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2549-2566 ในเอกสาร คัดมาเฉพาะ นามสกุล “ลิ้มเจริญรัตน์” พร้อมที่อยู่ จำนวนหุ้น และเลขที่ใบหุ้น พบว่าในปี 2549 - เมษายน 2550 ชื่อผู้ถือหุ้นยังเป็น “นายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์” พ่อของนายพิธา โดยในช่วง 2 ปีนี้ จำนวนหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงจาก 12,000 หุ้น เป็น 42,000 หุ้น ก่อนที่ในเดือนเมษายน 2551 ชื่อของผู้ถือหุ้นจะเป็น “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และถือครองหุ้นจำนวน 42,000 หุ้นเรื่อยมาจนถึงปี 2566
นายเรืองไกร ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมจากข่าวเดิม ว่า นายพิธา ถือครองหุ้นมา 16 ปี มีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ 3 ครั้ง สะท้อนว่า รู้อยู่แล้วว่ามีหุ้นนี้อยู่หรือไม่ ทำไมไม่แจ้งต่อป.ป.ช.ตั้งแต่รับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562 แต่กลับมายื่นเพิ่มภายหลัง
นายเรืองไกร เชื่อว่า เรื่องนี้สามารถเอาผิดนายพิธาได้ โดยอ้างจากประสบการณ์ของตัวเอง ที่เคยร้องตรวจสอบนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และเปรียบเทียบกับคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
นายเรืองไกร ยังบอกว่า หากนายพิธา ไม่รอดในคดีนี้ อาจจะทำให้ นายพิธาขาดสภาพความเป็น ส.ส. ซึ่งมองว่าต้องนับย้อนไปตั้งแต่ปี 62 ที่มีหุ้นอยู่แล้ว ซึ่ง้ตองดูว่า ศาลฯ จะวินิจฉัยเรียกเงินเดือน ส.ส. 4 ปีก่อน คืนด้วยหรือไม่ และ อาจทำให้ ส.ส.พรรคก้าวไกลที่ได้รับเลือกตั้ง ได้รับผลกระทบด้วย เพราะนายพิธาเป็นคนเซ็นรับรองให้ลงสมัครในขณะที่ตัวเองขาดคุณสมบัติ ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไร
ส่วนคดีร้องเรียนของ พรรคเพื่อไทย นายเรืองไกร ยอกว่า ตอนนี้ มี 3 เรื่อง ที่ ยังอยู่ในกระบวนการ คือ เรื่องการหาเสียง “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” เรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการเปลี่ยนโปรไฟล์เฟซบุ๊กของผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก่อนวันเลือกตั้งล่วงหน้า ทำให้คนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรคหรือไม่