วันที่ 13 ก.ค. 2566 ที่รัฐสภามีการประชุมรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เพื่อพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นพ.ชลน่าน ศรีแล้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้น ประธานรัฐสภา ได้ให้เปิดให้สมาชิกอภิปรายคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี โดยให้ ส.ส.จากทุกพรรคการเมืองได้เวลา 4 ชั่วโมง และ แบ่งเวลาให้ ส.ว.อภิปราย 2 ชั่วโมง
โดยนาย ประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ลุกขึ้นอภิปรายคุณสมบัติผู้ที่ถูกเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ว่า การเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ตนถือว่าการเสนอชื่อบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 และมาตรา 160 ซึ่งมีเหตุผลสำคัญคือ ในวันนี้เราอยู่ในโหมดรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล และการเสนอชื่อคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็อยู่ในบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ที่บัญญัติว่าบุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม
รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดเรื่องคุณสมบัติของการเป็นรัฐมนตรี มาตรา 160 (6) ต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามมาตรา 98 กำหนดหลายประการ เช่น ต้องไม่เป็นผู้ที่ติดยาเสพติด ต้องไม่เป็นผู้ที่ล้มละลาย และที่สำคัญ (3) ต้องไม่เป็นเจ้าของ หรือ ผู้ถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์ หรือ สื่อมวลชนใดๆ
นาย ประพันธ์ กล่าวอีกว่า นายพิธาที่ถูกเสนอชื่อขึ้นมานั้นมีปัญหาและขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160 และมาตรา 98 (3) เมื่อเป็นเช่นนี้การเสนอชื่อนายพิธา ขัดต่อข้อบังคับข้อที่ 136 ที่กำหนดไว้ว่า จะเสนอชื่อบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ได้ ปัญหาเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ก็ปรากฎให้เห็นชัดแจ้งแล้ว เพราะเมื่อวานนี้ ( 12 ก.ค.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติพร้อมยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำสั่งให้นายพิธา พ้นสมาชิกภาพส.ส.หรือไม่ ซึ่งศาลได้รับหลักการทางธุรการไปแล้ว และ จะได้เสนอคำร้องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป อันเป็นข้อเท็จจริงโดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายพิธา เป็นคนที่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และในความเห็นของกกต.ยังชี้ว่านายพิธา หมดสมาชิกภาพของการเป็นส.ส.ไปแล้ว
หากมีคนแย้งว่าศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำวินิจฉัยอันเป็นที่สิ้นสุด จะถือว่าเขาขาดคุณสมบัติไม่ได้นั้น ปัญหานี้ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใดเพราะปัญหาเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครส.ส. ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ที่ตนเองหยิบยกเรื่องนี้มาพูดเพราะคนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ให้รัฐสภาโหวตรับรองเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หากรัฐสภาฯพิจารณาให้ลงมติรับรองต่อไปย่อมขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศ และขัดต่อข้อบังคับที่ประชุมสภาฯโดยชัดแจ้ง อีกทั้งยังมีความผิดที่ร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา
นอกจากนั้นเมื่อมีการลงมติให้ผู้ที่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแล้ว การจะนำชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติและคุณลักษณะต้องห้าม ไปนำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นนายกรัฐมนตรี และการกระทำดังกล่าวย่อมเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เป็นสิ่งที่สภาแห่งนี้มิควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
หากสมาชิกยังดึงดันลงมติให้กับบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านอาจจะถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 231 (1) เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามประมวลจริยธรรมของส.ส. ส่วนส.ว.ที่จะลงมติให้ก็มีความผิดด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้คนเองจึงไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านการเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี