หลังเปิดเรื่องโกงโควตาหวยทหารผ่านศึกไป ก็ตามมาด้วยประเด็นโกงโควตาหวยสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย โดย นายธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์หลักฐาน เป็นรายงานการสืบสวนของดีเอสไอว่า การที่สมาคมกีฬาคนตาบอดฯ จำหน่ายโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลให้คนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิก เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อบังคับของสมาคม
ล่าสุด นายธนเดชโพสต์หนังสือบันทึกถ้อยคำของนายกสมาคมฯ ที่ระบุว่า มีการจำหน่ายสลากฯ ให้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกจริง ซึ่งทำมาตั้งแต่นายกสมาคมฯ คนเก่า
โดยนายธนเดชโพสต์ภาพหนังสือบันทึกถ้อยคำ เรื่อง กรณีสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้บุคคลอื่นที่มิใช่สมาชิก ลงวันที่ 16 ก.ย. 68 โดยหนังสือมีทั้งหมด 5 หน้า
สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ นายกสมาคมคนตาบอดฯ คนปัจจุบัน ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุว่า ตนเองเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกสมาคม เมื่อปี 2564 ก่อนหน้านั้นช่วงปี 2557-2563 นายกสมาคมเป็นอีกท่านหนึ่ง โดยสมาคมได้รับโควตาสลากมาตั้งแต่นายกสมาคมฯคนเก่า ตั้งแต่ปี 2557
เมื่อนายกสมาคมฯ คนใหม่มารับช่วงต่อ ก็ได้รับข้อมูลเดิมมาดำเนินการต่อ ก่อนจะมาทราบภายหลังว่า “ผู้ที่ได้รับโควตาสลากไปจากสมาคมไม่ใช่สมาชิกของสมาคม” แต่สมาคมระบุว่าเป็นสมาชิกผู้ค้า
โดยสมาชิกผู้ค้าทั้งหมดมีประมาณ 157 คน มีรายชื่อเป็นสมาชิกผู้ค้าสลาก แต่ไม่ได้มีชื่อเป็นสมาชิกของสมาคมในประเภทใดเลย (คำถามที่สังคมถามตอนนี้คือ แล้วสมาชิกผู้ค้าที่ว่า คือใคร หรือบริษัทใด)
รายละเอียดในหนังสือบันทึกถ้อยคำ ยังระบุถึงรายละเอียดสัญญาข้อตกลงและวิธีปฏิบัติกับกองสลาก ด้วยว่า สมาคมฯ ต้องใช้เงินสดค้ำประกัน 100% ของราคาสลาก ซึ่งมีจำนวน 2,647 เล่ม หนึ่งเล่มมีสลาก 100 ฉบับ ราคาสลากละ80 รวม 1 เล่มราคา 8,000บาท
เพราะฉะนั้น 2,647 เล่มเป็นเงิน 21,176,000 บาท และด้วยทางสมาคมต้องนำเงิน จำนวนเดียวกัน (21,176,000 บาท) ไปจ่ายเป็นค่าสลากด้วย เพราะฉะนั้นในแต่ละงวด สมาคมต้องใช้เงินสด 42,352,000 บาท
ซึ่งตามสัญญา สมาคมฯ ต้องรับขาดขายคืนไม่ได้ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบันจึงอ้างว่า ด้วยเหตุต้องต้องใช้เงินสดต่องวดมากถึง 42 ล้านบาท ทางสมาคมจึงต้องหาคนที่มีความสามารถที่จะขายให้หมดมาช่วยเป็นนายทุน ในการนำเงินสดไปชำระและค้ำประกันให้กับกองสลาก
ในบันทึกถ้อยคำนี้ยังระบุถึงต้นทุนของสลาก โดยนายกสมาคมฯ บอกว่า ต้นทุนใบละ 68 บาท 80 สตางค์ สมาคมขายให้สมาชิก 70 บาท 40 สตางค์ ส่วนต่าง 1 บาท 60 สตางค์ มีรายได้ต่องวดจากส่วนต่าง เป็นเงิน 549,120 บาท
สุดท้ายของบันทึกถ้อยคำ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงถามว่า เมื่อรู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ นายกสมาคมฯ ทำอย่างไร
นายกสมาคมฯ ตอบว่า ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าทำถูกมาโดยตลอด เมื่อดีเอสไอบอกว่าผิด ก็เลยให้สมาชิกผู้ค้าสลากทั้ง 157-158 คน มาสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมเสียเลย ภายในวันที่ 26 ก.ย. 68
ประเด็นนี้นายธนเดชตั้งคำถามว่า แทนที่สมาคมจะยอมรับความผิด และแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง โดยนำโควตากลับมาให้ “นักกีฬาผู้พิการทางสายตา” ที่ควรได้รับอย่างแท้จริง กลับเลือก “วิธีแก้ปัญหาแบบย้อนแย้ง”
ด้วยการนำบุคคลที่เดิมทีดีเอสไอชี้ว่า ไม่ใช่สมาชิกสมาคม และไม่ได้พิการทางสายตา เข้ามา “รับสมัครเป็นสมาชิกใหม่” เพื่อให้การจำหน่ายสลากกลับมาถูกวัตถุประสงค์! นี่หรือคือการแก้ปัญหา?
นายธนเดชบอกว่า “วันนี้ผมขอเรียกร้องให้ สมาคมออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด เกี่ยวกับการบริหารจัดการ “โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล” รวมถึง เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธินี้ ต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส”
“และขอวอนให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งตรวจสอบ ดำเนินการ กล้าทำ กล้าฟัน ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะเราไม่ควรปล่อยให้ใครมาหากิน บน “ความทุกข์ร้อนของผู้พิการ” อีกต่อไปครับ”
ส่วนสโลแกนของสมาคมกีฬาคนตาบอดที่ว่า “เปลี่ยนชีวิตด้วยกีฬา”นายธนเดช ระบุว่า เห็นสโลแกนนี้แล้วอดถามไม่ได้ว่า ชีวิตที่เปลี่ยน นี่มันชีวิตใครกันแน่? ชีวิตของ “กรรมการสมาคม” ที่โอนเงินหากันเดือนละหลายล้าน หรือชีวิตของ “ผู้พิการ” ที่ควรได้รับโอกาสจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามวัตถุประสงค์ของโควตา?