จากกรณีนางงามสาวชื่อดัง “ชาล็อต ออสติน” ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 4 ล้านบาทนั้น ล่าสุดวันที่ 10 ธ.ค. 67 ชาล็อตและนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาแถลงเปิดใจและเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ชาล็อตเล่าว่า ในวันเกิดเหตุ มีคนโทรศัพท์เข้ามาอ้างว่าเป็นตำรวจ บอกว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินของคนที่ชื่อ “นายศรัทธา” ซึ่งเคยเป็นข่าวช่วงเดือน ส.ค.
เมื่อชาล็อตลองตรวจสอบดูว่าเคยมีคดีความนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ก็ปรากฏว่าเคยมีข่าวนี้จริง
“เขาบอกว่าหนูได้มีการขายบัญชีให้กับเขา เขาโอนเงินมาให้หนูทุกเดือน เดือนละ 800,000 บาท แล้ว เขาก็ให้หนูกดโค้ดเพื่อทำการโอนสายไปให้ตำรวจอีกท่านหนึ่ง แล้วเขาก็เลยขอไลน์ของหนูไปเพื่อจะขอวิดีโอคอล เป็นหลักฐานในชั้นศาลเพื่อจะฟ้องนายศรัทธา” ชาล็อตเล่า
นายณวัฒน์เสริมว่า หลังจากกดโค้ดดังกล่าวแล้ว โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ ไม่มีใครสามารถโทรหาได้ เพราะเป็นโค้ดในการตัดการสื่อสาร เพื่อบล็อกการใช้โทรศัพท์ เป็นเทคโนโลยีของมิจฉาชีพ ซึ่งชาล็อตกดไปแล้วในเวลานั้นจึงไม่สามารถปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย
ชาล็อตบอกว่า “แล้วเขาก็บอกเราว่า ห้ามวางสาย ถ้าวางจะส่งเจ้าหน้าที่มาจับกุมฝากขังทันที และบอกว่า 1 ทุ่มจะออกหมายจับ ถ้าเราไม่ให้การยืนยัน”
เธอยอมรับว่ารู้สึกกลัว จึงทำตามในสิ่งที่มิจฉาชีพแจ้งมา เพราะเชื่อไปแล้วว่าเป็นความจริง เนื่องจากไม่อยากให้ชื่อเสียงตัวเองเสียหาย โดยถ้ามีข่าวก็ต้องโดนสังคมต่อว่า จึงยอมคุยกับเขา
“เขามีการขู่ว่าไม่ให้บอกใคร เพราะเป็นความลับของราชการ ถ้าบอกจะส่งเจ้าหน้าที่มาพร้อมหมายจับทันที” ชาล็อตเล่า
เธอเสริมว่า “เขาก็ให้เราโอนเงินไป เขาบอกว่าเขาคือหน่วยงานของรัฐที่ต้องการจะตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าเงินในบัญชีเราเป็นเงินที่ถูกกฎหมายจริง ๆ แล้วบอกจะคืนเงินภายใน 15-30 นาทีหลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว ... เขาส่งหลักฐานเอกสารมาให้ ว่ามันมีหมายจับจริง ๆ เราก็เลยเชื่อ เพราะเป็นหลักฐานของรัฐจริง ๆ หนูก็เลยให้ความร่วมมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ”
ชาล็อตบอกว่า “หนูก็โอนไป แล้วเขาก็บอกว่ายังติดประชุมอยู่ ต้องเอาเรื่องนี้ไปให้กับผู้บังคับบัญชา ในการตรวจสอบ มารู้ตัวตอนตี 3 น้องเลขาพยายามหาข้อมูลมา ก็ไปเจอในกลุ่มเฟซบุ๊กว่ามีคนเคยเจอเหมือนกัน คดีนี้เหมือนกัน หนูเลยยังไม่วางเพราะ ณ ตอนนั้นยังไม่ได้ถ่ายหน้าเค้าไว้ ยังไม่ได้มีการอัดหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน”
หลังจากเอะใจว่าเป็นมิจฉาชีพ ชาล็อตจึงได้โทรติดต่อหาธนาคารเพื่อระงับบัญชี ชั่วคราว แล้วก็รีบไปที่สถานีตำรวจ
นายณวัฒน์บอกว่า “มันก็เป็นมิจฉาชีพทั่วไป แต่น้องยังอยู่ในภาวะตกใจด้วย แล้วที่ทุกคนก็อาจจะรู้ ว่าน้องเป็นแพนิกด้วย ที่กำลังรักษาอยู่ ก็เลยจะทำให้กลัวคนง่ายแล้วก็พาไปสู่ความเชื่อ”
เขากล่าวว่า “ผมก็บอกให้ตั้งสติ เพราะยังไงก็แล้วแต่ เงินไม่มีวันกลับมา เพราะคนพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ... เราก็เอาคลิปที่น้องได้มา ไปเช็กกับผู้เชี่ยวชาญ เขาบอกว่าเป็นเอไอ (ปัญญาประดิษฐ์) ล้านเปอร์เซนต์ ประดิษฐ์คนให้เหมือนภาพจริง โดยใช้เอไอควบคุม”
ตนและชาล็อตจึงออกมาแถลงรายละเอียดครั้งนี้ เพื่อฝากไว้เป็นอุทาหรณ์