ระงับทดลองวัคซีนแอสตราฯ ในเด็ก รอผลความเชื่อมโยงเคสเลือดแข็งตัว

อินเดียระงับส่งออกวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาชั่วคราว

แอสตราฯเปิดผลทดลองวัคซีนในสหรัฐย้ำปลอดภัย

ชาติยุโรป เตรียมหันกลับมาใช้วัคซีนโควิด “แอสตราเซเนกา”

จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาแล้วเกิดอาการเลือดแข็งตัวจนเลือดอุดตันและมีผู้เสียชีวิตนั้น ล่าสุด มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานยา (EMA) ออกมาบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกันจริง

เมื่อวานนี้ (6 เม.ย.) มาร์โก คาวาเลรี หัวหน้าฝ่ายวัคซีนของ EMA กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Il Messaggero ของอิตาลีว่า “เราสามารถพูดได้แล้วว่า การเกิดลิ่มเลือดอุดตันมีความเชื่อมโยงกับวัคซีนแอสตราเซเนหา … แต่เรายังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุของปฏิกิริยานี้”

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้น ทาง EMA ได้ออกแถลงการณ์ตามมาว่าไม่เป็นความจริง โดยในแถลงการณ์ที่ส่งถึง AFP ระบุว่า “ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงประเด็นดังกล่าว และกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่” และคาดว่าจะประกาศผลการค้นพบในวันพุธ (7 เม.ย.) หรือวันพฤหัสบดี (8 เม.ย.)

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของการใช้ยาในสหราชอาณาจักรบางคนเชื่อว่า อาจมีความเชื่อมโยงเชิงจริงระหว่างการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา และการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำในสมอง หรือ CVST

แต่พวกเขากล่าวว่า โครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยจะลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงลง โดยยกเว้นการใช้วัคซีนแอสตราเซเนหาในผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 55 ปี

ก่อนหน้านี้ไม่นาน มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกำลังทำการทดลองใช้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาในเด็กและคนหนุ่มสาวอายุ 6-17 ปีมากกว่า 200 คน เพื่อดูว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกันจากการใช้วัคซีนดังกล่าวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ได้มีการพิจารณาหยุดการทดลองชั่วคราว เพื่อรอผลการตรวจสอบความปลอดภัยให้แน่ชัดก่อน

โฆษกของออกซ์ฟอร์ดกล่าวว่า “แม้ว่าจะยังไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยในการทดลองทางคลินิกในเด็ก แต่ก่อนที่จะทำการทดลองต่อไป เราต้องการรอข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการทบทวนกรณีการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน/ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ในผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาบางราย”

ประเทศส่วนใหญ่กลับมาฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนหาอีกครั้ง แต่ยังมีอีกหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา ยังคงระงับการฉีดในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 55 ปี หรือ 60 ปี หรือ 65 ปี ตามมติแต่ละประเทศ หลังพบว่า ผู้ที่รับวัคซีนแล้วเลือดแข็งตัวส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวและหญิงวัยกลางคน

 

เรียบเรียงจาก BBC / The Guardian