อนามัยโลก ขอประเทศร่ำรวยเลื่อนฉีดเข็ม 3 บูสเตอร์โดสให้ ปชช.

โดย PPTV Online

เผยแพร่

การที่โควิดยังคงกลายพันธุ์แยกร่างเป็นสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้แนวคิดวัคซีนบูสเตอร์โดสกลายมาเป็นนโยบายสำคัญของหลายประเทศในขณะนี้ แม้จะยังไม่อาจทราบได้ว่าวัคซีนเข็มที่ 3 จะป้องกันไวรัสในอนาคตได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้อุ่นใจในปัจจุบัน เพราะป้องกันการป่วยหนักจากโควิดเดลตาได้ อย่างไรก็ตามในระดับโลก หากหลายประเทศหันมาฉีดบูสเตอร์โดสให้กับประชาชน วัคซีนที่กำลังเดินทางไปยังประเทศอื่น ๆ จะขาดตลาดหรือไม่ นี่คือ ความกังวลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก

วัคซีน mRNA ตัวแรก สัญชาติจีน คาดรู้ผลประสิทธิภาพปลายปีนี้ ผู้พัฒนามั่นใจเทียบชั้น ไฟเซอร์

มีเพียง 9 ประเทศในโลกที่มีประชากรฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสเกิน 70%

ถ้อยแถลงล่าสุดจาก ทีโดรส อัดฮานอม กรีเบเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่แห่งองค์การอนามัยโลก ไม่เห็นด้วยกับการที่หลายประเทศเริ่มฉีดวัควีนเข็มที่ 3 หรือบูสเตอร์โดสให้กับประชาชน  เพราะทางอนามัยโลกมองว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ฉะนั้นแล้วหากบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว หันมาฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จึงมีความกังวลว่า วัคซีนที่ควรจะไปถึงประเทศกำลังพัฒนา จะยิ่งช้าลง และน้อยลง

โดยผู้อำนวยการใหญ่อนามัยโลก ร้องขอว่า ควรจะเลื่อนเวลาการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ออกไปก่อนเป็นเดือนตุลาคม

 

เปรียบเทียบอัตราการฉีดวัคซีนระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา

ล่าสุดสหรัฐฯ มีสัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนครบแล้วมากกว่า 174 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 52.6 ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศ

ในขณะที่หลายประเทสของทวีปแอฟริกา ลำพังคนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกยังมีไม่ถึงร้อยละ 2 นี่คือช่องว่างที่ต่างกันมาก

นอกจากนั้นทางอนามัยโลกยังขอร้องให้นานาชาติช่วยส่งมอบวัคซีนในโครงการ Covax ตามจำนวนที่ตกลงไว้ เนื่องจากปัจจุบันทาง Covax เพิ่งจะได้รับวัคซีนแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น

อย่างไรก็ตามแนวคิดผ่อนผันบูสเตอร์โดส เพื่อต่อเวลาให้ชาติกำลังพัฒนาได้รับวัคซีนนั้นมีผู้ไม่เห็นด้วย หนึ่งในนั้นคือ ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการฝ่ายยุโรปขององค์การอนามัยโลกชี้ว่า วัคซีนเข็มที่ 3 ที่เพิ่มมานั้น ไม่ใช่วัคซีนที่ไปแย่งมาจากวัคซีนเข็มแรกที่หลายคนกำลังรอฉีด อีกทั้งไม่ใช่อภิสิทธิ์แต่อย่างใด หากคือความจำเป็นในการป้องกันประชาชนกลุ่มเสี่ยงจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์

และล่าสุดโลกไม่ได้มีแค่เชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งตัวที่กำลังเป็นที่จับตามอง ว่าเชื้อกลายพันธุ์ตัวนี้จะกลายมาเป็นปัญหาในอนาคตแบบเชื้อเดลตาที่กำลังระบาดในหลายประเทศหรือไม่

 

โควิดสายพันธุ์มิว มีชื่อทางการว่า B.1.621 ถูกตรวจพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบียเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกได้จัดให้ไวรัสมิวอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่าจับตามองหรือ Vairant of Interest เนื่องจากรูปแบบการกลายพันธุ์ของไวรัสชนิดนี้อาจทำให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาดได้รวดเร็วและอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้

นอกจากนั้น รูปแบบการกลายพันธุ์ของไวรัสมิวยังบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการต้านทานการทำงานของยาและวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ทั่วโลกมีอยู่ และมีความเสี่ยงที่จะหลบหลีกภูมิต้านทานของร่างกายมนุษย์ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม อัตราการระบาดของโควิดมิวทั่วโลกยังต่ำมาก หรือน้อยว่าร้อยละ 0.1 แต่ที่น่ากังวลคือในโคลอมเบีย ประเทศแรกที่พบสายพันธุ์นี้ เพราะมีอัตราความชุกของสายพันธุ์นี้ถึงร้อยละ 39

และวันนี้ล่าสุด ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่ออกมาประกาศพบผู้ติดเชื้อโควิดมิวแล้ว  ระบุ พบผู้ติดเชื้อ 2 ราย เป็นนักเดินทางจากต่างประเทศ  รายแรกเป็นหญิงวัย 40 ปี เดินทางมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมาถึงญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา รายที่สองเป็นหญิงวัย 50 ปี เดินทางมาจากสหราชอาณาจักร โดยมาถึงญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา และทั้งสองคนไม่มีอาการป่วยใด ๆ  ส่งผลให้ปัจจุบันคาดกันว่ามีอย่างน้อย 40 ประเทศแล้วที่พบผู้ติดเชื้อโควิดตัวใหม่นี้

โควิดมิวยังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า โควิดสายพันธุ์ใหม่อันตรายแค่ไหน

 

 

 

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ