ระหว่างการสัมมนาในหัวข้อ “โลกหลังยุคแห่งการครอบงำ” ที่กรุงมอสโก ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ระบุว่าขณะนี้โลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านประวัติศาตร์ และในอนาคตข้างหน้านี้จะเป็นทศวรรษที่ทั้งอันตรายที่สุด มีความไม่แน่นอนมากที่สุด และ มีความสำคัญมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย ประธานาธิบดี ปูติน เชื่อว่าอิทธิพลของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ที่ควบคุมความเคลื่อนไหวต่างๆบนเวทีระหว่างประเทศกำลังจะสิ้นสุดลง
ซูเปอร์คอมฯ ทำนายทีมแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 อังกฤษ ถึงฝันหรือไม่
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ "แทบไม่ขยับ" ตลาดรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ
ในขณะที่มหาอำนาจในเอเชียอย่างจีนกำลังมีบทบาทที่เติบใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตได้ทำลายสมดุลของการเมืองระหว่างประเทศ โลกตะวันตกรู้สึกว่านั่นคือชัยชนะ และ ประกาศระเบียบโลกที่มีขั้วอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ที่เจตจำนง วัฒนธนรรม และ ผลประโยชน์ของชาติตะวันตกเท่านั้นที่ได้รับการปกป้อง
ช่วงเวลาแห่งการครอบงำโดยชาติตะวันตกกำลังมาถึงจุดจบในหน้าประวัติศาสตร์กิจการระหว่างประเทศ โลกที่มีขั้วอำนาจเดียวกำลังกลายเป็นอดีต เรากำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดนทางประวัติศาสตร์ สิ่งที่รอเราอยู่ข้าวหน้าอาจเป็นทศวรรษที่อันตรายที่สุด คาดเดายากที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
โลกตะวันตกไม่สามารถควบคุมโลกได้เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่พวกเขายังพยายามต่อไป แต่เกือบทุกประเทศทั่วโลกไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแล้ว
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี ปูติน ยังวิจารณ์สหรัฐฯ และ พันธมิตรว่ายั่วยุให้เกิดสงคราม และเล่นเกมสกปรกที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้ พร้อมทั้งกล่าวหาชาติตะวันตกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความตึงเครียดด้านนิวเคลียร์ โดยยกตัวอย่างคำพูดของ ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่ประกาศพร้อมใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากสถานการณ์ต่างๆ บีบบังคับ
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี ปูติน ย้ำว่ารัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น และ ไม่ได้มีแผนการใด ๆ ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน แต่ยังเน้นย้ำคำกล่าวหาที่ว่า ยูเครน อาจจุดชนวนระเบิดกัมมันตรังสี
ขณะที่ คอนสแตนติน โวรอนต์ซอฟ รองผู้อำนวยการฝ่ายไม่แพร่ขยายอาวุธและการควบคุมอาวุธ แห่งกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกว่า การใช้ดาวเทียมพาณิชย์ของชาติตะวันตก เช่น สตาร์ลิงก์ ที่ดำเนินการโดยบริษัท สเปซเอ็กซ์ ของ อีลอน มัสก์ เพื่อช่วยเหลือยูเครนในการสู้รบนั้น “เป็นแนวโน้มที่อันตรายอย่างยิ่ง”
โดย โวรอนต์ซอฟ ได้กล่าวกับทางสหประชาชาติว่า “โครงสร้างพื้นฐานกึ่งพลเรือนอาจเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมในการโจมตี” พร้อมยังบอกด้วยว่า การใช้ดาวเทียมของชาติตะวันตกเพื่อสนับสนุนยูเครนนั้นถือเป็น “การยั่วยุ”
สำหรับ รัสเซียมีศักยภาพด้านอวกาศที่สามารถใช้ในการสู้รบ เช่นเดียวกับสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเมื่อปี 2021 รัสเซียเพิ่งทดสอบยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม เพื่อทำลายดาวเทียมของตนเองมาแล้ว
นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังยื่นหนังสือร้องเรียนฉบับหนึ่งไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้ดำเนินการตรวจสอบ "กิจกรรมชีวภาพทางทหาร" ของสหรัฐฯ ในยูเครน โดยกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียอ้างว่าระหว่างปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารในยูเครน ได้พบหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ ยืนยันได้ว่าสหรัฐฯช่วยยูเครนพัฒนาอาวุธชีวภาพ
ขณะที่เมื่อวานนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับล่าสุด ที่ระบุว่าสหรัฐฯจำเป็นต้องยกระดับการป้องกันประเทศจากภัยคุกคามจากทั้งรัสเซีย ที่เป็นภัยคุกคามในระยะใกล้ และ จีนที่เป็นภัยคุกคามในระยะยาว โดยเฉพาะการเป็นคู่แข่งบนเวทีโลก แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวระบุว่าแม้สหรัฐฯเผชิญกับความท้าทายด้านนิวเคลียร์จากรัสเซียและจีน มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสองประเทศนี้ทั้งการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย และ การท่าทีแข็งกร้าวของจีนที่ประกาศว่าพร้อมใช้กำลังยึดคืนไต้หวัน ทำให้สหรัฐฯเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้น
การเปิดเผยรายงานยุทธศาสตร์ฉบับดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องรับมือกับความท้าทายจากรัสเซีย ที่มียุทโธปกรณ์ด้านนิวเคลียร์ที่ทันสมัยมากขึ้น กองทัพจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และ การยิงทดสอบขีปนาวุธที่บ่อยครั้งขึ้นของเกาหลีเหนือ