"เบนจามิน เนทันยาฮู" จ่อทวงเก้าอี้นายกฯอิสราเอล

การกลับมาของเนทันยาฮูครั้งนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามในยูเครนที่ดำเนินมาเข้าสู่เดือนที่ 9

ผลการสำรวจความคิดเห็นหน้าคูหาเลือกตั้ง หรือ “เอ็กซิทโพล”  พบว่า ขั้วการเมืองที่นำโดยพรรค"ลิคุด" (Likud) ของอดีตนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู จะได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวนระหว่าง 61 - 62 ที่นั่ง  ซึ่งถือว่าได้ครองเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกในสภาทั้งหมดที่มี 120 ที่นั่ง

ปธน.ยูเครนเรียกร้องอิสราเอลร่วมกดดันรัสเซีย เผย 8 ปีก่อนเคยช่วยชาวยิว

เลบานอน-อิสราเอล ลงนามเขตแดนทางทะเล ยุติข้อพิพาท

ขณะที่สื่อในอิสราเอลคาดการณ์ว่า เฉพาะพรรคลิคุดของ เนทันยาฮู เพียงพรรคเดียวก็น่าจะกวาดที่นั่งได้ราว 30-31 ที่นั่งแล้ว และจะทำให้พรรคลิคุด กลายเป็นพรรคที่มีจำนวนสมาชิกรัฐสภามากที่สุด และเมื่อรวมกับจำนวนที่นั่งของบรรดาพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตร ซึ่งรวมถึงพรรค รีลิเจียส ไซออนิสต์ (Religious Zionist Party) ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง ก็คาดว่า ผู้นำสายเหยี่ยว อย่างเนทันยาฮู  จะได้กลับมาครองอำนาจอีกสมัยอย่างแน่นอน    

ขณะที่พรรค เยห์ เอติด (Yesh Atid) พรรคการเมืองแนวเสรีนิยมของ นายกรัฐมนตรี ยาอีร์ ลาปิด ผู้นำอิสราเอลคนปัจจุบัน ที่เอาชนะพรรคลิคุดได้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว   

รวมถึงพรรคบลู แอนด์ ไวท์ (Blue and White)  ของ เบนนี แกนท์ซ (Benny Gantz) อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ต่างได้จำนวนที่นั่งต่ำกว่า 60 ที่นั่ง  ซึ่งไม่เพียงพอต่อการครองเสียงข้างมาก
โดยการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้  ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 5 ของอิสราเอล ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลผสมของนายกฯยาอีร์ ลาปิด ต้องล่มสลาย มาจากการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันที่มีแนวคิดทางการเมืองค่อนข้างแตกต่างกัน  ทั้งพรรคที่มีนโยบายอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และพรรคการเมืองของกลุ่มประชากรผู้มีเชื้อสายอาหรับ

ในส่วนของจำนวนผู้ออกมาลงคะแนนตามหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ ถือว่ามีจำนวนมากเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1999 โดยตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิ์อย่างไม่เป็นทางการล่าสุดพบว่า  มีสัดส่วนถึงร้อยละ 66 เปอร์เซนต์  ของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมด

โดยปัญหาหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุด คือ ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ และค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น  

แต่อีกประเด็นที่มีการพูดถึงมากเช่นกันระหว่างหาเสียงคือคดีความเก่าของ เนทันยาฮู ที่เคยถูกสั่งฟ้องในข้อหาทุจริต และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในปี 2019  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบการเมืองของอิสราเอลเผชิญทางตันในช่วงที่ผ่านมา 

วันนี้ ( 2 พ.ย.) เบนจามิน เนทันยาฮู  ออกมาแถลงข่าวที่สำนักงานพรรคลิคุด ในกรุงเยรูซาเล็ม โดยแสดงความมั่นใจว่า จะได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้  ถึงแม้การประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ จะต้องรอการยืนยันจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของอิสราเอล  ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 1 สัปดาห์

เนทันยาฮู  เคยเป็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอลมาแล้ว 2 ครั้ง รวมกว่า 15 ปี  ระหว่างปี 1996 ถึงปี 1999 และในระหว่างปี 2009 ถึงปี 2021   ระบุว่า  ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ต่างจากการได้รับความไว้วางใจจากประชาชน  พร้อมให้คำมั่นว่า รัฐบาลชุดใหม่ของเขาจะทำหน้าที่เป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” เพื่อพลเมืองอิสราเอลทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยก

แล้วการกลับมาของเนทันยาฮู จะมีผลอย่างไรกับการเมืองและความมั่นคงใน ภูมิภาคตะวันออกกลาง?

เบนจามิน เนทันยาฮู  นับเป็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอลที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดถึง 15 ปี   อีกทั้งยังเป็นผู้นำคนแรกที่เกิดบนแผ่นดินอิสราเอลหลังการประกาศตัวเป็นประเทศเอกราชในปี  1947 หรือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว

การกลับมาครองอำนาจอีกครั้งของผู้นำสายเหยี่ยว ที่มีจุดยืนทางการเมืองแบบขวาจัดอย่างเนทันยาฮู ถูกมองว่า นี่จะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับอิหร่าน ภายใต้การนำของอยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด  ตลอดจน ระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด ( Bashar al-Assad) ในซีเรีย  รวมถึงกลุ่มติดอาวุธโปรอิหร่านอย่างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซา

การกลับมาของเนทันยาฮู จะมาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าว ซึ่งเน้นการตอบโต้กลับแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ต่อบรรดาศัตรูตัวฉกาจข้างต้น  

เราจะได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของการยิงขีปนาวุธของอิสราเอล และการใช้เครื่องบินรบ เปิดฉากถล่มเป้าหมายต่างๆ ทั้งในอิหร่าน ซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ที่เนทันยาฮูมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและปลอดภัยของอิสราเอล

หลายคนเชื่อว่า ตะวันออกกลางอาจลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อชายที่ชื่อ เนทันยาฮู ซึ่งเคยใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาได้กลับมาครองอำนาจอีก

เบนจามิน เนทันยาฮู เกิดที่นครเทลอาวีฟในปี ค.ศ.1949  ในครอบครัวของชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ โดยเขาเป็นลูกคนที่ 2 จากทั้งหมด 3 คน ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะย้ายมาอยู่ที่เยรูซาเล็ม และย้ายไปใช้ชีวิตที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนียของสหรัฐฯ ในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่น บรรพบุรุษของเขา มีประวัติการถูกข่มเหงรังแกมายาวนานตั้งแต่เมื่อครั้งอาศัยในยุโรป 

ขณะเดียวกัน การเข้ารับราชการในหน่วยรบพิเศษของกองทัพอิสราเอลอย่างยาวนาน มีส่วนหล่อหลอมทำให้ เนทันยาฮู กลายเป็นคนที่ผ่านการฝึกให้รับมือกับภัยคุกคามรอบด้าน ซึ่งทำให้เขามีความกังวลต่อปัญหาความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตของชาวอิสราเอลอย่างมาก  โดยเฉพาะภัยคุกคามจากอิหร่าน และกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ - เลบานอน  ซึ่งเนทันยาฮู มองว่า กระบวนการเจรจาทางการทูตบนหลักสันติวิธีนั้น  ไม่อาจช่วยได้ และต้องใช้การตอบโต้อย่างรุนแรงเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น  การเสียชีวิตของ พันโท โยนาธาน เนทันยาฮู พี่ชายแท้ๆของเขา  ระหว่างภารกิจบุกช่วยตัวประกัน 248 ชีวิต จากเครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ที่ถูกจี้ โดยกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1976 ที่สนามบินนานาชาติเอ็นเทบเบ ในประเทศยูกันดา  ยังถือเป็นอีกหนึ่งบาดแผล ที่หล่อหลอมให้เบนจามิน กลายเป็นคนที่แข็งกร้าว และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของอิสราเอล

แม้ปฏิบัติการสะเทือนโลกที่ยูกันดา จะประสบความสำเร็จ เพราะกลุ่มคนร้ายถูกสังหารได้ทั้งหมดรวม 7 ศพ แต่พี่ชายของเขา และตัวประกันอีก 3 ราย กลับต้องมาจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ถือเป็น “บาดแผลในใจ” ที่หลายคนเชื่อว่า ได้หล่อหลอมให้เบนจามิน เนทันยาฮู กลายเป็น หนึ่งในผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของอิสราเอล  

นอกจากความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางที่จะสั่นคลอนมากขึ้นแล้ว  การกลับมาของเนทันยาฮู มีผลต่อสงครามในยูเครนด้วยเช่นกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่า อิหร่านที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอลมายาวนาน ได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ในการทำสงครามที่ยูเครน

จากข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐฯ และนานาชาติพบว่า ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สงครามในยูเครนเข้าสู่จุดที่อันตรายมากขึ้น หลังจากที่รัสเซียงัดยุทธวิธีใหม่มาใช้ นั่นก็คือการใช้โดรนจากอิหร่านรุ่นชาเฮด 136  โจมตียูเครนอย่างหนัก

รัสเซียยังคงใช้โดรนจากอิหร่านโจมตียูเครนต่อเนื่องทั้งในกรุงเคียฟ และเมืองต่างๆทั่วประเทศ โดยเน้นเป้าหมายไปที่การยิงถล่มโรงไฟฟ้า  โรงผลิตน้ำประปา ตลอดโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและสาธารณูปโภคอื่นๆ ของยูเครน

ความเคลื่อนไหวของอิหร่านกำลังทำให้ชาติตะวันตกไม่พอใจอย่างหนัก แต่ไม่มีใครหยุดยั้งอิหร่านได้  จนกระทั่งผลการเลือกตั้งล่าสุดในอิสราเอลที่บ่งชี้ว่า เบนจามิน เนทันยาฮู จะกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง

ในสมัยที่ครองอำนาจ เนทันยาฮูเคยระบุว่า ระบอบการปกครองของอิหร่าน ถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลก ไม่ต่างจาก ระบอบนาซีเยอรมัน  และอิหร่านถือเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุด (the greatest threat) ที่อิสราเอลเคยเผชิญ

ตลอด 15 ปีในการครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิสราเอล มีรายงานว่า เนทันยาฮู ได้ออกคำสั่งให้หน่วยสืบราชการลับ “มอสสาด” และกองทัพอิสราเอล เปิดฉากโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนต่อเป้าหมายทางทหารและที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์-โรงงานขีปนาวุธในอิหร่าน    

ยังไม่นับรวมกับการออกคำสั่งให้สังหารหรือลักพาตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านหลายราย

การกลับมาของเนทันยาฮู จึงกลายเป็นความหวังสำหรับยูเครนและโลกตะวันตก ว่า ผู้นำอิสราเอลจะให้การสนับสนุนยูเครนในสงคราม  ตลอดจนขัดขวางความช่วยเหลือที่อิหร่านมอบให้รัสเซีย ได้อย่างเห็นผล

แม้ชัยชนะในการเลือกตั้งและการกลับมาครองอำนาจของเนทันยาฮู จะถูกมองว่า เป็นข่าวดีสำหรับการเมืองและความมั่นคงของอิสราเอล รวมถึงอาจส่งผลดีต่อสงครามในยูเครน

แต่บรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักกลับมองว่า ความท้าทายสำคัญที่สุดที่เนทันยาฮูต้องเผชิญ อาจเป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังย่ำแย่

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาอาหารที่ปรับเพิ่มไปแล้วกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ตลอดจนปัญหาการว่างงานของประชากรอิสราเอลที่มีสัดส่วนเพิ่มเป็นเกือบร้อยละ 4 ของประชากรวัยทำงานทั่วประเทศ น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ที่รอให้เนทันยาฮู เข้ามาแก้ไข

นอกจากนั้น ปัญหาความยากจนของกลุ่มประชากรอิสราเอล ที่มีเชื้อสายอาหรับซึ่งมีสัดส่วนราว 28 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศ  ยังถือเป็นโจทย์ยาก ที่พร้อมจะสั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเนทันยาฮูได้ทุกเมื่อ