“โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง หลังคว้าชัยในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2024 และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ก็มีหลากหลายนโยบายออกมาทันที ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างผู้ลี้ภัย ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือล่าสุด มีการตัดงบประมาณการหล่อเลี้ยงเรื่องของสิทธิมนุษยชนทั่วโลกทันที จนส่งผลกระทบไปยังผู้ลี้ภัยหลายแสนคน โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา
แผนการ "ทรัมป์" หวัง "เขย่า - บีบ"
รศ.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคงและการต่างประเทศ พูดคุยกับ PPTV ในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk พร้อมวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ โดย รศ.ปณิธาน ระบุว่า สิ่งที่ ทรัมป์ ทำเป็นการเขย่าให้ตกใจและบีบเอาเงินเอาทรัพยากรคืนสหรัฐฯ แต่ยุทธวิธีนี้ยังไม่สามารถเขย่าจีน รัสเซีย หรือประเทศใหญ่ ๆ ได้ เขย่าได้แค่ประเทศเล็ก ๆ เช่น โคลอมเบีย อียิปต์ จอร์แดน
รศ.ปณิธาน เชื่อว่า แผนการนี้ออกแบบมาให้จีน รัสเซีย หรือคู่แข่งเห็นชัดแน่ ๆ ว่าจะเกิดขึ้นแน่ถ้าไม่เจรจากับสหรัฐฯ และเชื่อว่าเป็นการทำเพื่อให้ “ยุคทองของสหรัฐฯ” กลับมาทั้งหมด ถ้าทำไม่ได้ “ยุคทอง” ก็ไม่กลับมา ต้องเปิดระบบจัดการกับทุกคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากนั้นมีการตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อมาเก็บภาษีนอกประเทศ เป็นการห้ามเลือด ดึงเงินกลับประเทศ
ขณะเดียวกัน การที่ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาพูดว่าไม่อยากให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน สิ่งนี้ทำให้เห็นได้ว่ารัฐบาลทรัมป์เองก็ยังคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอยู่ ซึ่งภาพนี้เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกัน เกิดขึ้นได้ทุกชั่วโมง
รศ.ปณิธาน มองว่า นโยบายที่รุนแรงเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฉุดไม่อยู่ แต่ละวันทำรุนแรงขึ้นกว่าเมื่อวาน เพราะฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจล้มระเนระนาดแล้วกลับมาไม่ได้ เช่น ถ้าเม็กซิโกถูกเก็บภาษีด้านการค้าเพิ่ม 25% กลายเป็นว่าประเทศเขายิ่งจน ข้าวยากหมากแพง ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดการไหลเข้าไปก่ออาชญากรรมในอเมริกามากกว่าเดิม เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ต้องคำนวณเอง เชื่อว่านี่เป็นการเขย่าก่อน อีก 100 วันจึงจะปรับ
กรณีบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา รศ.ปณิธาน มองว่า ยังใช้คำว่ายุติให้ความช่วยเหลือได้ไม่เต็มร้อย เนื่องจากโฆษกทำเนียบขาวคนใหม่ระบุว่าเป็นการแช่เข็งชั่วคราว แต่ก็ถือว่ารุนแรงมาก เพราะเป็นการแช่เข็งทุกโครงการก่อน และมาดูว่าโครงการไหนที่จะเดินต่อได้ แต่ยิ่งอธิบายก็ยิ่งซับซ้อน รวมถึงรัฐธรรมนูญที่ทรัมป์แก้ไขจากสมัย “โจ ไบเดน” ก็มีผู้ฟ้องร้องมากมาย โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง “ทรัมป์” แก้ปัญหาด้วยการไล่คนฟ้องออก
ถอดบทเรียนประเทศไทย ชี้ช่องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
รศ.ปณิธาน มองว่า สิ่งนี้คือบทเรียนว่าต่อไปนี้ไทยไม่ควรพึ่งประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก เพราะถ้าเขาดึงปลั๊กออกเราจะเดือดร้อนกันหมด และหลายโครงการเป็นเช่นนั้น รวมถึงจะเป็นโอกาสในการเปิดทางเลือกใหม่ให้กับภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขอเงินช่วยเหลือจากญี่ปุ่น เยอรมนี รวมถึงจีน
รศ.ปณิธาน กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย ต้องขอบคุณสหรัฐฯ ที่ทำให้ไทยตื่นขึ้นมาว่าต่อไปนี้เราไม่พึ่งพาอีกแล้ว เขาเขย่าเราก็ไม่ล้มอีกต่อไป ถือว่าเราได้บทเรียน เป็นการตั้งรับระยะสั้นว่าเราต้องรีบไปจัดหาเงินช่วยเหลือ แต่เราต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส คือ ต้องจัดระเบียบการเข้าเมืองใหม่ เริ่มคัดกรองปิดพรมแดนบางส่วน อนุญาตบางส่วน เช่น แรงงาน อาชีพถูกกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ เราต้องการ พบผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายก็ส่งกลับ
กรณีพบผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายยกเว้นกฎหมายเข้าเมือง จะส่งกลับต้นทางไม่ได้เพราะอันตราย ส่วนใหญ่ถ้าลี้ภัยการเมืองจะมีปัญหา ตัวอย่างเช่น การส่งตัวกลับม้ง กลับลาว อาจต้องมีนักข่าวของเราไปช่วยตามดู เฝ้าระวังจนกว่าจะปลอดภัย ถ้าพบว่าทำผิด ก็ปฏิบัติตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
รศ.ปณิธาน มองว่า กลุ่มผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายให้คัดกรองนำเข้าระบบเสีย ให้อนุญาตทำงานชั่วคราว ให้สถานภาพชั่วคราว หากทำงานได้ดีก็นำมาเป็นแรงงาน แต่ต้องขออนุญาตคนไทยด้วย เพราะเป็นเจ้าบ้านที่ต้องเสียภาษี มีคนต่างชาติเข้ามาใช้สาธารณสุขเรา รับการศึกษาเรา บวกกับว่าคนไทยนิสัยดี โอบอ้อมอารีย์ นิสัยดี ถ้าทำแบบนี้วิกฤตต่าง ๆ จะกลายเป็นโอกาสดีในระยะยาว
รศ.ปณิธาน กล่าวต่อว่า คำถามคือ จะคัดกรองอย่างไร เช่นกรณีสหรัฐฯ ที่ระบุว่ามีผู้อพยพราว 25 - 30 ล้าน แต่พบว่ามีจริง ๆ 40 ล้าน ส่วนประเทศไทยมีรายงานว่าพบชาวเมียนมาลงทะเบียนไว้ราว 1 - 2 ล้าน แต่เอาเข้าจริงประมาณอย่างต่ำ 5 ล้าน ซึ่งในส่วนของแรงงานที่มีศักยภาพ ถูกประเทศที่ 3 ดึงไปหมด เราต้องพลิกกลับมาดึงแรงงานที่มีศักยภาพกลับมาในไทย
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP ต่างประเทศ
- วิดีโอยอดนิยม
