การพูดคุยระหว่างตัวแทนของรัสเซียและสหรัฐฯ ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบียเพื่อผลักดันการหยุดยิงในยูเครนได้เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา
โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า ประเด็นหลักที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันนั้น มีทั้งเรื่องดินแดนและโรงไฟฟ้าในยูเครน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่บริษัทสัญชาติอเมริกันจะเข้าไปครอบครอง
ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนสหรัฐฯ และรัสเซียที่กรุงริยาดเป็นการพูดคุยกันเกี่ยวกับดินแดนต่าง ๆ ในยูเครน ที่เวลานี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสงคราม
ส่วนอีกประเด็นสำคัญคือการแบ่งทรัพย์สิน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ในยูเครน ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และยูเครนกำลังเจรจาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่บรรดาบริษัทสัญชาติอเมริกันจะเข้าไปถือครองทรัพย์สินเหล่านี้
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเปิดเผยว่า ได้ข้อตกลงแบ่งแร่ธาตุหายากกับยูเครนแล้วและคาดว่าจะมีการลงนามสัญญาได้ในเร็ววัน พร้อมกับประกาศว่าในวันที่ 25 มี.ค. ตนเองจะพูดคุยกับ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อีกครั้ง
ส่วนสถานการณ์สู้รบในยูเครนเมื่อวันที่ 24 มี.ค. กองทัพรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีเมืองซูมี ซึ่งบางส่วนไปตกที่อะพาร์ตเมนต์หลายแห่ง รวมถึงไปโรงเรียนและโรงพยาบาลเด็ก โดยล่าสุดพบผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นเป็น 65 คนแล้ว
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่น โดย โวโลดิเมียร์ อาร์ทยุคห์ ผู้บริหารภูมิภาคซูมี ระบุว่า มีอาคารสูงหลายแห่งได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากเข้าไปหลบในหลุมหลบภัยได้ทันเวลา
การโจมตีจากรัสเซียยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในวัที่ 23 มี.ค. กองทัพรัสเซียได้ส่งโดรนโจมตีอาคารที่อยู่อาศัยในกรุงเคียฟ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ อาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย และมีอย่างน้อย 1 แห่งที่เกิดไฟไหม้
ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า กองทัพได้ทำลายโดรนที่ยูเครนส่งมาโจมตีในพื้นที่ทางใต้ของประเทศ และในภูมิภาคไครเมียได้ 59 ลำ ในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 22 มี.ค. มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เตือนว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครนอาจกลับมาเป็นเป้าหมายการโจมตีอีกครั้ง หากยูเครนยังไม่หยุดโจมตีสถานีก๊าซและน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงที่ให้ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าววอชิงตันโพสต์รายงานว่า ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่อาจตัดการสนับสนุนระบบอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ซึ่งใช้งานโดยชาติพันธมิตรตะวันตก และส่งผลให้ยุโรปอยู่ในภาวะอ่อนแอ
โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลของหลายสมาชิกอียูระบุว่า การพึ่งพิงยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ที่รวมถึงระบบป้องกันขีปนาวุธ อากาศยานสอดแนม โดรน และเครื่องบินขับไล่ อาจกลายเป็นจุดอ่อนของยุโรป เนื่องจากความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างประธานาธิบด ทรัมป์ กับอียู โดยยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในสหรัฐฯ อาจใช้งานไม่ได้ในทางปฏิบัติ หากไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อะไหล่ ซอฟต์แวร์และข้อมูลได้
สำหรับสหรัฐฯ เป็นผู้จัดส่งอาวุธคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของอาวุธทั้งหมดที่ยุโรปนำเข้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งการซ่อมบำรุงและปฏิบัติงานโดยบุคลากรอเมริกา
ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เรียกร้องชาติสมาชิกอียูหยุดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ โดยชี้ว่าความพยายามเติมเต็มอาวุธของยุโรปจะกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ หากว่ารัฐสมาชิกยังคงพึ่งพิงยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ
สอดคล้องกับท่าทีของ นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษที่ พยายามผลักดันการลดระดับการพึ่งพาด้านยุุทโธกรณ์จากสหรัฐฯ โดยได้เรียกร้องชาติยุโรปเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเพื่อรองรับ
เช่นเดียวกับ ฟรีดริช เมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ ซึ่งได้เสนอให้ขยายเครือข่ายป้องกันภัยคุกคามอาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ให้ครอบคลุมกลุ่มประเทศสมาชิกอียู
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP ต่างประเทศ
- วิดีโอยอดนิยม
