กรณีเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยรังสิต จับทุจริตสอบวิชาพื้นฐานในการสอบตรง 3 คณะ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และทันตแพทย์ อันเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการสอบไปในที่สุดนั้น
( ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat )
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงการทุจริตสอบตรงเข้าคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งขณะนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย ว่า ขอให้ผู้ที่คิดทำการทุจริตสอบเข้าศึกษาต่อทั้ง 3 วิชาชีพข้างต้น คิดให้ดีก่อนทำ เนื่องจากการเรียนแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัช ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีความถนัดในทางวิชาการ และไม่มีใจรักอยากเรียนจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเรียนไม่จบ ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อยไปโดยเปล่าประโยชน์
สำหรับข้อกังวลที่เกี่ยวกับความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในการรักษาโรค หากกลุ่มผู้ทุจริตสามารถเข้าศึกษา และเรียนจบออกไปปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยนั้น นายกแพทยสภา ระบุว่า ในทางปฏิบัติบัณฑิตแพทย์และผู้ปฏิบัติวิชาชีพ ยังต้องสอบเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพ ถึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง อย่างเช่นแพทย์เองเมื่อจบการศึกษาตามหลักสูตร ก็ต้องสอบใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หากสอบไม่ผ่านก็ไม่สามารถตรวจวินิจฉัย รักษา หรือทำหัตถการได้
“ผมไม่แนะนำให้ใช้วิธีการโกงเข้าไปเรียน เพราะนอกจากจะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องแล้ว หากสามารถเข้าไปเรียนได้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะเรียนจบ หรือสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพได้ หากไม่มีความถนัดหรือไม่มีใจรักในวิชาชีพนี้ ก็ขอให้ไปสอบไปเรียนด้านอื่นที่ถนัดจะดีกว่า ส่วนพ่อแม่เองที่หวังอยากจะให้ลูกเรียนแพทย์ ก็ต้องดูความสามารถลูกของตนด้วย อย่าบังคับหรือใช้วิธีแบบผิดๆ เพราะในที่สุด อาจทำให้ลูกเครียดและเป็นโรคประสาทได้”
ทั้งนี้ ในแต่ละปีจะมีผู้จบการศึกษาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนในประเทศที่แพทยสภารองรับ ประมาณ 2,700 คน สัดส่วนผู้สอบไม่ผ่านใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม อยู่ที่ประมาณ 10% โดยจากสถิติย้อนหลัง 4 ปี ของแพทยสภา มีผู้สอบผ่าน ดังนี้ ปี 2555 จำนวน 2,228 คน ปี 2556 จำนวน 2,298 คน ปี 2557 จำนวน 2,481 คน และล่าสุดปี 2558 สอบผ่าน 2,537 คน
