วันนี้ (5 ก.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพน้ำมีสีขุ่นและไหลเชี่ยวแรงในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เป็นอุปสรรคใหญ่ในภารกิจช่วยชีวิต 13 สมาชิกทีมหมูป่าฯของ “หน่วยซีล” เพราะหากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นหลังฝนตกหนัก นั่นหมายความว่า การฝึกใช้ Full face mask หน้ากากดำน้ำแบบเต็มใบ และ การเคลียร์พื้นที่ตามจุดเสี่ยงต่างๆ เช่น ดิน โคลน และหินที่ขวางทาง จะต้องเร่งทำให้เสร็จภายใต้เงื่อนไขเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด
ขณะที่นายเรืองฤทธิ์ ช้างขวัญยืน นักดำน้ำฝ่ายสนับสนุนอุปกรณ์และเทคนิคให้ “หน่วยซีล” คนนี้ ยอมรับว่า เส้นทางในถ้ำหลวงฯ ต้องใช้การทำงานใต้น้ำเป็นหลัก การปรับเปลี่ยนแผนการช่วยเหลือตามหน้างานบางช่วงจึงค่อนข้างลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด เนื่องจากมีชีวิตของเด็กและโค้ชทั้ง 13 คนเป็นเดิมพัน
การลำเลียงเด็ก “หน่วยซีล” จะทำหน้าที่ฝึกให้เด็กใช้อุปกรณ์ดำน้ำและรู้จักวิธีเอาตัวรอดหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ระหว่างเส้นทางการดำน้ำ เด็กหนึ่งคนจะมีเจ้าหน้าที่ว่ายประกบ 1-2 คน มีการใช้ Buddy line หรือเชือกคล้องเอวไว้กับเด็กตลอดเวลา และระหว่างทางจะมีเชือกสำหรับปีนผาขนาด 8 มิลลิเมตร ให้เด็กจับไว้ระหว่างการดำน้ำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจกับเด็กว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พวกเขาจะไม่รู้สึกเดียวดายลำพัง และถ้าไปเจอช่องแคบที่การดำน้ำผ่านได้เพียงคนเดียว เจ้าหน้าที่จะว่ายน้ำนำหน้าไปก่อนเพื่อคอยประคองให้เด็กลอดผ่านช่องแคบได้อย่างอุ่นใจ
กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวแรงในถ้ำไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น นักดำน้ำ มองว่า ถ้าทั้ง 13 คน ฝึกทักษะใช้อุปกรณ์ต่างๆได้รวดเร็ว รู้จักวิธีเอาตัวรอดหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อน้ำเข้าไปในหน้ากาก หรือ ถังอากาศมีปัญหาได้ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวก็จะทำให้ภารกิจช่วยชีวิตสำเร็จเร็วขึ้นเพราะไม่ต้องว่ายทวนน้ำ แต่ภาพรวมก็ยังมีความเสี่ยงเพราะทีมฟุตบอลหมูป่าฯผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีเร่งด่วนภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลาและสภาพแวดล้อมที่อาจมีฝนลงมาเติมได้ตลอดเวลานับจากนี้เป็นต้นไป