ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กราฟิกนี้อ้างอิงข้อมูลจากรายงานการตรวจพิสูจน์ศพของนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี วันที่ 16 เมษายน 2559 หลังนายธนิต ทัฬหสุนธรเสียชีวิตได้ 1 วัน ระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลถูกแทงขอบบาดแผลเรียบ บริเวณไหล่ซ้ายด้านบน ยาว 3 เซนติเมตร กว้าง 0.3 ซม.แนวบาดแผลขนานไปกับไหปลาร้า โดยแนวบาดแผลทะลุผ่านเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ซ้ายและทะลุเข้าเส้นเลือดแดงใต้ไหปลาร้าซ้าย แนววิถีจากบนลงล่าง ลึกประมาณ 11 เซนติเมตร นอกจากนี้ การตรวจช่องอกพบว่าเส้นเลือดแดงบริเวณใต้ไหปลาร้าซ้ายฉีกขาด ตามแนวบาดแผลถูกแทง และยังมีแผลถลอกที่หน้าผากข้างซ้าย และบาดแผลถลอกลักษณะแนวขวางที่ตาตุ่มเท้าขวาด้านใน 2 แห่งแพทย์ให้ความเห็นสาเหตุการเสียชีวิตคือเส้นเลือดแดงบริเวณใต้ไหปลาร้าซ้ายฉีกขาด เนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณไหล่ซ้าย
ถ้าดูจากบาดแผลที่ศพของนายธนิต สอดคล้องกับคำให้การของพยานที่ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนว่า ผู้ต้องหาที่1 คือนายโจ้ ใช้ของมีคม แทงนายธนิต และผู้ต้องหาที่ 2 คือนายอาร์ม หรือเบนซ์ ใช้สนับมือหรือกุญแจรถ ที่สอดไว้กับนิ้วชกต่อยนายธนิตบริเวณใบหน้าหลายครั้ง หลังเกิดเหตุ ตำรวจที่ดูแลคดีนี้ลงพื้นที่บริเวณถนนประชาราษฏร์บำเพ็ญ แขวงและเขต ห้วยขวาง ซึ่งเป็นบ้านเช่าของนายอาร์ม หรือ เบนซ์ เพื่อตรวจยึดของกลาง โดยวัตถุพยานที่พบประกอบด้วยเสื้อยืดคอกลมสีเทา 1 ตัว และกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน 1 ตัว รวม 2 ชิ้น ซึ่งเป็นชุดที่นายอาร์มหรือเบนซ์ ใส่ในวันเกิดเหตุ จากการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีพบว่า ดีเอ็นเอที่พบบนเสื้อผ้าทั้ง 2 ชิ้น มีดีเอ็นเอของผู้ตายอยู่ด้วย และมีดีเอ็นเอ ของบุคคลอื่นอีก 2 คน
นางธนพร ศิริบานเย็น ทนายความที่ดูแลคดีนี้ ยืนยันว่า ในชั้นพนักงานสอบสวน มีวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพียง 2 ชิ้น ซึ่งเป็นวัตถุพยานฝั่งนายอาร์ม หรือเบนซ์ ส่วนฝั่งนายโจ้ ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ของมีคมแทงนายธนิต ไม่พบวัตถุพยานแม้แต่ชิ้นเดียว โดยเฉพาะอาวุธที่ใช้แทงนายธนิต ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในคดีนี้
นอกจากวัตถุพยานอีกหลายชิ้น ที่ไม่พบในบันทึกตรวจยึดแล้ว ทนายความในคดีนี้เปิดเผยว่า ขณะนี้มีพยานใหม่ปากสำคัญอีก 4 ปาก ที่จะเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจนครบาล ตามคำสั่งของพลตำรวจโทชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ให้ตรวจสอบสำนวนคดีนี้ใหม่ ซึ่งพยานใหม่ที่ว่านี้ ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทราบที่มาที่ไปของเหตุการณ์ แต่ไม่เคยให้ปากคำในชั้นพนักงานสอบสวนและเบิกความในรชั้นศาลแม้แต่ครั้งเดียว