‘บีทีเอส’ ขยายเวลาบัตรโดยสารเที่ยวหมดอายุ วันที่ 18 เม.ย.-31 พ.ค.64
แผนคัดกรองเชิงรุก เขตไหนวันไหน เช็ก 50 เขตกทม. จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 วันนี้
ทีมข่าวพูดคุยกับกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนหลานคน ส่วนใหญ่ Work From Home ทำงานที่บ้าน กันมาอย่างน้อย 2 สัปดาห์แล้ว หลายคนเล่าประสบการณ์การตรวจงานของหัวหน้างานและเจ้าของบริษัทให้ทีมข่าวฟัง แต่ไม่สะดวกเปิดเผยตัวตน เพราะ กลัวว่าจะกระทบกับการทำงาน โดยทีมข่าวพบว่า การทำงานที่บ้าน ทำให้เกิดมาตรการหลายอย่าง เช่น บางบริษัท ตรวจสอบว่าพนักงานทำงานหรือไม่ จากจำนวนชิ้นงานที่สั่งไป หรือ จัดวิดีโอคอล พนักงานในช่วงเริ่มงานและเลิกงาน
เพื่อดูว่า พนักงานพร้อมทำงานที่หน้าคอมพิวเตอร์หรือไม่ ที่โหดที่สุด คือ บางบริษัทวิดีโอคอลหาพนักงาน 5 รอบ ต่อวัน คือ ก่อนเริ่มงาน 08.00 น.,10.00 น., 13.00 ,15.00 น. และ 17.00 น. เลิกงาน แต่ละครั้งที่วิดีโอคอล ก็จะมีการถ่ายรูป เพื่อส่งให้ฝ่ายบุคคล เป็นการยืนยันว่าทำงานจริง หรือบางบริษัท ตรวจสอบผ่านระบบ VPN ดูการใช้งานคอมพิวเตอร์ บางที่ให้แจ้งพิกัด แชร์โลเคชั่น ให้หัวหน้างาน เพื่อดูว่า อยู่ที่บ้านทำงาน หรือ ว่าออกไปข้างนอก
จากการพูดคุย ทุกคนพูดตรงกันว่า การทำงานที่บ้านทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ค่าไฟ จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือเรื่องนี้
ขณะที่หนึ่งในคนที่ทีมข่าวคุยด้วย เธอเป็นพนักงานขายบริษัทเอกชน สะท้อนว่า เธอและเพื่อนพนักงานขายต้องปรับตัวมาก เพราะ ปกติจะไปพบลูกค้า แต่ตอนนี้ใช้การโทรศัพท์คุยกับลูกค้าแทน ซึ่งส่งผลทำให้ยอดขายตกและทำให้รายได้ลดลง
จากปกติเธอมีรายได้เป็นเงินเดือนรวมกับค่ารถและค่าซ่อมบำรุงรถที่บริษัทให้พิเศษ เดือนละ 32,000 บาท แต่ช่วง Work from home รายได้ของเธอเหลือเพียงเงินเดือนอย่างเดียว 20,000 บาท ส่วนรายจ่าย แม้เธอจะไม่ต้องออกไปพบลูกค้า ไม่เสียค่าน้ำมันรถ แต่ก็มีค่าโทรศัพท์ ค่าไฟ ค่าเอกสารสำหรับลูกค้า เพิ่มเข้ามาอีก เมื่อหักลบกันพบว่า รายได้หายไปหมื่นกว่าบาท
พนักงานคนนี้บอกว่า เข้าใจดีว่าบริษัทก็มีภาระไม่ต่างกัน จึงไม่อยากเรียกร้องกับทางบริษัท แต่อยากให้ภาครัฐช่วยเหลือออกมาตรการเยียวยาให้เร็วที่สุด มองว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำตอนนี้คือช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภคกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม