นางพลารัตน์ มยุโรวาด พนักงานกระเป๋ารถเมล์วัย 52 ปี ที่ชีวิตเธอตลอด 11 ปีที่ผ่าน อุทิศให้กับรถเมล์มาอย่างเต็มที่ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่เธอต้องยุติบทบาทการเป็นพนักงานกระเป๋ารถเมล์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็เคยตกงานเพราะรถเมล์สาย 46 หยุดให้บริการเช่นเดียวกัน
นางพลารัตน์ เปิดใจกับทีมข่าวพีพีทีวีว่า การยุติการให้บริการของรถร่วมสาย 81 นี้ ส่งผลกระทบกับชีวิตเธอเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ใช่แค่เธอที่ต้องตกงาน แต่ยังมีสามี วัย 50 ปี ที่ทำหน้าเป็นพนักงานขับรถเมล์ในสาย 81 ก็ต้องตกงานไปด้วย
สวนดุสิตโพล เผยปชช.ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแก้ปัญหาของแพง
แจงรัฐบาลทำเต็มที่ดูแลราคาน้ำมัน-ของแพง
ซึ่งการตกงานอย่างกะทันหันของเธอและสามีครั้งนี้ ทำเอาทั้งเธอถึงกับไปไม่เป็น จนต้องขอกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อตั้งตัวก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปทำอะไร
เมื่อถามว่าอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลืออะไรบ้าง นางพลารัตน์ ตอบเพียงอย่างเดียวว่า งาน อยากให้ช่วยหางานให้หน่อย เนื่องจากเธอและสามีอายุมากแล้ว จะไปสมัครงานอื่นๆ ก็ยากที่จะมีคนรับ ซึ่งวันจันทร์นี้เธอก็ได้ต้องกลายเป็นคนตกงานอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งๆ ยังไม่มีเงินติดตัว หรืองานรองรับเลย
ระหว่างที่นางพลารัตน์ และสามี กำลังออกไปวิ่งรถ ทีมข่าวของเราก็ได้ขอติดตามไปดูการทำงานของทั้งสองคนด้วย ซึ่งพบว่า ตลอดเส้นทางพุทธมณฑลสาย 5 ไปปิ่นเกล้า มีผู้โดยสายขึ้นมาใช้บริการน้อยมาก ขับไป 10 ป้าย แล้วยังไม่มีผู้โดยสารขึ้นรถ มาเลยสักคน เพราะตั้งแต่มีโควิด ทำให้เธอมีรายได้ลดลงตามไปด้วย รวมถึงผู้ประกอบการก็ขาดทุนหลายล้านบาท
ด้านประชาชนที่ใช้บริการรถเมล์สาย 81 เป็นประจำอย่าง นางสุรัต ผานสะอาด อายุ 51 บอกว่า การยุติการให้บริการของรถเมล์สาย 81 มีผลกระทบกับเธอมาก ในเรื่องของค่าเดินทาง เนื่องจากเธอต้องเดินทางจากพุทธมณฑลสาย 5 ไปปิ่นเกล้า เพื่อไปทำงานทุกวัน ซึ่งเดิมค่ารถไปกลับจะอยู่ที่ประมาณ 20 บาท แต่พอรถเมล์สาย 81 หยุดให้บริการ ทำให้เธอต้องไปขึ้นรถเมล์อีกสาย ซึ่งจะต้องจ่ายแพงขึ้นอีกเท่าตัว เท่ากับไปกลับเธอต้องจ่าย 40 บาท
ขณะเดียวกันวันนี้ นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส. และเจ้าของบริษัทในเครือเชิดชัย ที่ออกมาประกาศขายกิจการรถโดยสาร บริษัท เชิดชัยทัวร์ เพราะแบกรับค่าน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ไหว ยื่นหนังสือถึง นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อขอขึ้นค่าโดยสารให้สอดรับกับราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น โดยขอปรับอัตราค่าโดยสารขึ้น 1 สตางค์ต่อกิโลเมตร และขอให้ลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าประกันภัย และค่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนของธุรกิจถึง 60% ของค่าโดยสาร
และวันนี้หากหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางบกและยังไม่ได้ข้อสรุปก็จะต้องกลับไปคุยกับกลุ่มเพื่อนในกิจการว่าจะทำอย่างไรต่อไป และถ้าขนส่งฯ ไม่ขึ้นค่าโดยสารให้ก็ต้องรักษาระเบียบการที่เป็นรถร่วม บขส.ซึ่งมีกฎระเบียบที่เราจะต้องอยู่ในข้อบังคับของขนส่งฯ ก็ต้องปฏิบัติตามนั้นถึงแม้จะต้องร้องไห้ทุกวันก็ต้องจำใจยอมขาดทุนไปก่อน และที่มาขอขึ้นค่าโดยสารวันนี้เพราะราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น อีกทั้งตนไม่ได้ขึ้นค่าโดยสารมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP สังคม
- วิดีโอยอดนิยม
