วันที่ 4 ธันวาคม 2567 รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะร่วมกันอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือ “พระเขี้ยวแก้ว” จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่ มณฑลท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในปี 2568
“สามารถ” โดนอีกคดี ตร.จ่อแจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์ พบเส้นเงินรีดทรัพย์ผู้ประกอบการ 5 แสน
โดยจะประดิษฐานระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 - 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นเวลา 73 วัน และจะอัญเชิญกลับในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เคยอนุญาตให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทย เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2545 ณ พุทธมณฑล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมทั้งเคยถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังประเทศต่าง ๆ รวม 6 ครั้ง โดยถือเป็นเหตุการณ์สำคัญอันเป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีน
ช่องทางชมสด พิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว
สื่อออนไลน์ : กรมประชาสัมพันธ์ และ NBT Connext
ทางโทรทัศน์ : Live NBT2HD สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
รับฟังการถ่ายทอดเสียงได้ทาง : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
ภาคภาษาอังกฤษ : NBT World และ https://prdee.prd.go.th
ติดตามชมเทปบันทึกภาพ ได้จาก MCOT ในเวลา 22.05 น.
ติดตามได้ในวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป
ขสมก. - กรมเจ้าท่า อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางมาสักการะ พระเขี้ยวแก้ว
องค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพฯ (ขสมก.) อำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จัดเดินรถโดยสารธรรมดาให้บริการประชาชน จำนวน 2 เส้นทาง จอดรับ–ส่งทุกป้าย พร้อมให้บริการทุก ๆ 20 นาที ดังนี้
1. เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สนามหลวง (จอดส่ง ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ฝั่งพระนคร)
เริ่มต้นจาก อนุสาวรีย์ฯ > ถ.พญาไท > แยกพญาไท > ถ.ศรีอยุธยา > วัดเบญจมบพิตรฯ > แยกกองทัพภาคที่ ๑ > ถ.ราชดำเนินนอก > ถ.ราชดำเนินกลาง > สุดเส้นทางที่สนามหลวง (บริเวณใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า)
2. เส้นทางวงเวียนใหญ่ - สนามหลวง (จอดส่ง ตรงข้ามศาลฎีกา)
เริ่มต้นจาก วงเวียนใหญ่ > ถ.ประชาธิปก > ข้ามสะพานพุทธ > ถ.มหาราช > ถ.สนามไชย > ถ.ราชดำเนินใน > สุดเส้นทางที่สนามหลวง (ตรงข้ามศาลฏีกา)
โดย ท่าต้นทางเที่ยวแรก เวลา 07.00 น. เที่ยวสุดท้าย เวลา 19.30 น. ท่าปลายทาง เที่ยวสุดท้าย เวลา 20.30 น. หรือจนกว่าผู้มาร่วมงานหมดพื้นที่
ขณะที่ กรมเจ้าท่า อำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ มลฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยจัดเรือข้ามฟาก จากฝั่งธนบุรี มาฝั่งพระนคร ในเส้นทางท่าเรือวัดระฆังฯ - ท่าเรือวัดอรุณฯ - ท่าเรือท่าช้าง ระหว่างวันที่ 5 - 11 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะแล้วเสร็จ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
รู้จัก “พระเขี้ยวแก้ว”
พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ที่วัดหลิงกวง ประดิษฐานอยู่ภายในพระสถูปทองคำประดับอัญมณี องค์พระเขี้ยวแก้วมีขนาดยาวประมาณ 1 นิ้ว เชื่อกันว่าบุคคลต่าง ๆ มองเห็นองค์พระเขี้ยวแก้วมีสีต่างกันไป บ้างเห็นเป็นสีขาวล้วน บ้างเห็นเป็นสีทอง บ้างเห็นเป็นสีขาวหม่น ซึ่งเป็นไปตามกรรม ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล
แม้องค์พระบรมสารีริกธาตุจะมิใช่สภาวธรรมที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นเครื่องชี้ทางและสะพานให้พุทธศาสนิกชนเดินหน้าไปสู่เป้าหมายปลายทางของพระพุทธศาสนาได้ เป็นสัญลักษณ์แห่งพระปัญญาตรัสรู้แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประวัติ “วัดหลิงกวง” ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว
วัดหลิงกวง ตั้งอยู่บนเชิงเขาทางทิศตะวันออกของเทือกเขาด้านตะวันตกของกรุงปักกิ่ง มีชื่อเสียงในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั้งในจีนและจากต่างประเทศ
ในปี 1983 วัดหลิงกวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวัดพุทธสำคัญในพื้นที่วัฒนธรรมจีนฮั่นโดยคณะรัฐมนตรีจีน ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของคณะสงฆ์ซึ่งพุทธสมาคมจีนมอบหมายแต่งตั้ง
โดยวัดหลิงกวงมีความเป็นมาย้อนไปถึงการก่อตั้งวัดครั้งแรกในช่วงรัชศกต้าลี่แห่งราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 766 – 779) เดิมชื่อวัดหลงฉวน ต่อมาได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในรัชศกต้าติ้งปีที่ 2 แห่งราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1162) และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดเจว๋ซาน
ในรัชศกเซี๋ยนยงปีที่ 7 แห่งราชวงศ์เหลียว (ค.ศ. 1071) ท่านผู้หญิงเจิ้ง มารดาของอัครมหาเสนาบดีเย๋หลี่ว เหรินเซียน ได้ก่อสร้างพระเจดีย์เจาเซียนขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า พระเจดีย์มีสันฐานทรงแปดเหลี่ยม สร้างด้วยอิฐแกะสลัก และมีขนาดใหญ่
ในรัชศกเจิ้งถ่งแห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1436 – 1449) วัดหลิงกวงได้รับการต่อเติมให้มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยใช้ไม้ที่รวบรวมมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วจีน วัดหลิงกวงเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของกรุงปักกิ่งมาเป็นเวลาหลายร้อยปีเนื่องจากมีสถาปัตยกรรมและทัศนียภาพงดงาม
วัดหลิงกวงเป็นปูชนียสถานสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลกเนื่องจากเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าหนึ่งในสององค์ที่เหลืออยู่ในโลกภายหลังพุทธปรินิพพานและการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ (ตามคติความเชื่อ กล่าวกันว่า พระเขี้ยวแก้วอีกสององค์นั้น องค์หนึ่งพระอินทร์อัญเชิญไปประดิษฐานบนสวรรค์ อีกองค์หนึ่งพญานาคบูชาอยู่ในบาดาล)
โดยองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่ศรีลังกา ในขณะที่อีกองค์หนึ่งได้รับการอัญเชิญไปยังอาณาจักรโบราณในพื้นที่ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน หลังจากนั้นได้รับการอัญเชิญต่อไปยังพื้นที่ทางตะวันตกของจีน (พื้นที่เขตปกครองตนเองซินเจียงฯ ในปัจจุบัน)
กระทั่งในช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 5 ในยุคราชวงศ์ใต้ พระภิกษุฝาเสี่ยนได้จาริกไปยังพื้นที่ดังกล่าว และอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วองค์นี้ไปยังกรุงเจี้ยนคัง เมืองหลวงของราชวงศ์ฉีใต้ (นครหนานจิงในปัจจุบัน) หลังการสถาปนาราชวงศ์สุย พระเขี้ยวแก้วได้รับการอัญเชิญไปยังนครฉางอาน
ต่อมาในยุคห้าราชวงศ์ซึ่งเกิดความระส่ำระสายอย่างหนักในพื้นที่ตอนกลางของจีน พระเขี้ยวแก้วได้รับการอัญเชิญมาถึงยังเมืองกรุงเยี่ยนจิง (กรุงปักกิ่งในปัจจุบัน) เมืองหลวงของราชวงศ์เหลียวเหนือ และได้รับการประดิษฐานในพระเจดีย์เจาเซียนเมื่อปี ค.ศ. 1071
พระเจดีย์องค์นี้ถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 1900 จากเหตุความวุ่นวายในกรุงปักกิ่งจากการบุกรุกของกองกำลังแปดชาติ ต่อมาในปี ค.ศ. 1901 ขณะที่ทำการเก็บกวาดซากปรักหักพัง คณะสงฆ์ได้ค้นพบกล่องศิลาบรรจุองค์พระเขี้ยวแก้วซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ส่วนฐานของพระเจดีย์
กระทั่งปี ค.ศ. 1957 พุทธสมาคมจีนได้ริเริ่มการก่อสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ขึ้นโดยการสนับสนุนของผู้นำจีน การก่อสร้างแล้วเสร็จและทำการอัญเชิญองค์พระเขี้ยวแก้วเข้าประดิษฐานเป็นการถาวรในปี ค.ศ. 1964 ปัจจุบัน วัดหลิงกวงไม่เปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะองค์พระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ได้เป็นการทั่วไป