วันที่ 16 มิ.ย. 68 กระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชา โดย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวใน 4 ด้าน ดังนี้
ประเด็นแรก กลไกทวิภาคี ตามที่ทางการไทยแถลงยืนยันมาโดยตลอด ว่าเรายึดมั่นในกลไกทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาด้วยความจริงใจ สุจริตใจ รวมถึงการเข้าร่วมการกระชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา
ประเทศไทยเข้าร่วมด้วยความใจจริง เพราะอยากเห็นผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แต่เราเห็นแล้วว่า กัมพูชาไม่ได้ตอบสนอง แต่ยังเลือกเสนอ 4 พื้นที่ คือ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก
นอกจากนี้ ทางกัมพูชายังเลือกที่จะไม่หารือ 4 จุดนี้ในการประชุม JBC ไทยจึงผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะประเด็นเขตแดนทั้งหมดอยู่ในขอบเขตการทำงานของ JBC
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำความสำเร็จของ JBC ที่ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังดำเนินการได้อยู่ และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียด นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพ JBC สมัยพิเศษในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งกัมพูชาตกลงเข้าร่วมแล้ว
ประเด็นที่สอง ศาลโลก รัฐบาลไทยไม่ได้รับเขตอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งประธาน JBC ฝ่ายไทยได้ย้ำในการประชุม และประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชารับทราบแล้ว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมแนวทางรับมือเรื่องนี้แล้ว
ประเด็นที่สาม มาตรการตอบโต้ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจได้เห็นปรากฏในโซเชียลมีเดีย มาตรการต่าง ๆ ที่กัมพูชาดำเนินอยู่ รวมถึงคำขู่ว่าจะปิดด่าน และห้ามนำเข้าสิ่งของจากไทยหากไม่เปิดด่าน และคำขู่อื่น ๆ
ขอเรียนตามหลักการความเชื่อว่า ไทยปฏิบัติตามหลักสากล การเป็นเพื่อนบ้านที่ดี จะไม่ใช้การยื่นคำขาด (ultimatum) ต่อกัน โดยไม่หารือเพื่อหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน ผลกระทบจะกระทบประชาชนทั้งสองฝ่าย
ไทยยึดถือผลประโยชน์ประชาชนสูงสุดมาโดยตลอด มาตรการของไทยที่ผ่านมาเป็นการตอบโต้ระดับรัฐบาล ไม่มีผลกับประชาชน การสื่อสารในโซเชียลมีเดียไม่ใช่ช่องทางทางการ การยื่นคำขาดต่อกันและข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระดับประชาชน สะท้อนว่ากัมพูชาขาดความตั้งใจที่จะแก้ไข
ยืนยันว่า รัฐบาลใช้สติและวิจารณญาณในการตอบโต้อย่างรอบคอบ มีวุฒิภาวะ ไม่ใช้อารมณ์ เรื่องแรงงานต่างชาติเอง ท่านนายกฯ บอกแล้ว รัฐบาลไม่มีแนวคิดผลักดันแรงงานประเทศใดออกนอกราชอาณาจักรไทย ทุกอย่างเป็นเรื่องของความสมัครใจ เป็นสิทธิเสรีภาพของแรงงาน
ประเด็นที่สี่ การชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ ไทยดำเนินการอยู่ และดำเนินมาพักหนึ่งแล้ว เราไม่ได้นิ่งนอนใจ กระทรวงการต่างประเทศจะจัดบรรยายสรุปให้คณะทูตประเทศต่าง ๆ เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 15.30 น. โดยเจตจำนงค์เพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง นโยบายที่ดำเนินอยู่และจะใช้ต่อไป
ขอเรียนอีกครั้งว่า ฝ่ายไทยจะนำเสนอข้อมูลที่ไม่บิดเบือน ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ในส่วนของคำแนะนำการท่องเที่ยวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยประเทศไทยยังคงยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว
ปัญหาปักปันเขตแดนคืบหน้า?
ด้าน อดีตเอกอัครราชทูต ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน กมธ. JBC ฝ่ายไทย เปิดเผยว่า การกระชุม JBC ครั้งล่าสุดนี้ ถือว่าราบรื่นที่สุดในทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อก่อนทะเลาะกันแรงกว่านี้
คุณประศาสน์อธิบายปัญหาการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาว่า ในขั้นตอนที่กำหนดกันไว้ในการประชุม JBC ครั้งก่อน ๆ มีการตรวจหาหลักเขตที่ปักไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ช่วงปี พ.ศ.2462-2463 ปักไป 74 หลัก ที่เราเรียกกันว่า 73 หลักนั้น ความจริงมีหลักเล็ก ๆ อีกอัน รวมเป็น 74 หลัก
ซึ่งในการหารือร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบตรงกันแล้ว 45 หลัก ส่วนที่ยังเห็นต่าง 29 หลัก ต้องคุยต่อ
และนอกจากการหาหลักเก่าให้เจอแล้ว ต้องมีการทำใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีถ่ายภาพทางอากาศ ให้เหมือนฝั่งมาเลเซียที่เห็นเขตแดนชัดเจน เพื่อประโยชน์ของทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในพื้นที่
โดยมีการเสนอให้ปักหลักถี่ขึ้น ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเดินดุ่ม ๆ ไปปักได้ ต้องถ่ายภาพอากาศ ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศก่อน พอทำแผนที่คร่าว ๆ แล้ว ทั้งสองฝ่ายจะคุยกันว่า จะเดินสำรวจแนวทางไหน แล้วจึงส่งชุดลงพื้นที่ไปทำงาน สุดท้ายเอาสิ่งที่พบในการสำรวจจริงมาพิจารณาเพื่อทำแผนที่หลักเขตแดนฉบับใหม่แทนแผนที่ฝรั่งเศส
ในการประชุม JBC ครั้งนี้ นอกจากเห็นชอบ 45 หลักเขตแดนแล้ว ทั้งฝ่ายยังตกลงที่จะจัดทำภาพถ่ายทางอากาศ โดยใช้เทคโนโลยี LiDAR (Light Detection and Ranging) มาใช้ เป็นเทคโนโลยีการตรวจจับระยะทางโดยใช้แสงเลเซอร์ในการวัดระยะทางและสร้างภาพ 3 มิติของวัตถุและสภาพแวดล้อม จะทำให้ได้แผนที่ที่มีความแม่นยำขึ้น
หลังจากนี้ต้องกำหนดขั้นตอนการทำงานว่า LiDAR จะใช้โดรนอะไร ขนาดเท่าไร บินสูงเท่าไร ความถี่เลเซอร์เท่าไร
ส่วนคำถามที่ว่า ในเมื่อเห็นชอบหลักเขตแดนแล้ว 45 หลัก ทำไมไม่ส่งชุดสำรวจไปตรงนี้ก่อน ตรงนี้ติดปัญหา 2 เรื่อง คือไม่มีคู่มือการทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่ หรือข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction) และต้องมี TOR หรือขั้นตอนการทำงานของ LiDAR ก่อน ไม่ใช่ไปเดินโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ห่วงเจ้าหน้าที่เรา เพราะระเบิดเยอะ ต้องบินถ่ายเพื่อปลอดภัยทั้งสองฝ่าย
คุณประศาสน์ย้ำว่า ขนาดชายแดนฝั่งมาเลเซียแนวยาวมากกว่า 500 กม. และไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ยังใช้เวลา 12 ปีจึงขัดทำเขตแดนแล้วเสร็จ ส่วนกรณีกัมพูชา มีชายแดนร่วมกัน 800 กว่า กม. เพิ่งจะตั้งไข่ยังไม่ได้ก้าว ไม่รู้กี่ปีจะเสร็จ อาจใช้เวลา 15-20 ปีถ้าไม่ทะเลาะกันเลย
คุณประศาสน์ยืนยันว่า ในการประชุม JBC เรื่องแผนที่ 1:200,000 ของคณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ที่กัมพูชาอ้างว่าเห็นชอบกันแล้วนั้น “ไม่มีพูดเลย”
แล้วแผนที่ทางอากาศใหม่ที่กำลังจะทำนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่ 1:50,000 หรือ 1:200,000 ใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นของใหม่ที่จะทำร่วมกันเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติ
ส่วนเรื่อง 4 พื้นที่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ในการประชุม JBC ทางฝั่งกัมพูชายกมาเพื่อบอกแต่ว่าจะไม่พูด ซึ่งไทยรับทราบ แต่เราเสียดาย แต่เคารพสิทธิที่จะไม่คุยเรื่องเขตแดนตรงนี้
คุณประศาสน์บอกว่า พยายามเจรจาทางกัมพูชาแล้วว่า ไม่คุยเรื่องศาลโลกก็ได้ แต่คุยเรื่องมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันเหตุปะทะได้หรือไม่ เหมือนในอดีตที่มีการกำหนด “พื้นที่ห้ามทำกิจกรรม” ที่ทุกฝ่ายห้ามเข้ามาเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ
“ถามเขาว่า ผมไม่คุยเรื่องศาลก็ได้ แต่เราเคยมีหลักปฏิบัติชั่วคราวเพื่อป้องกันการทะเลาะ เขาก็ยืนยันว่าพูดไม่ได้ ไม่มีในรายงานประชุมเลย เราต้องการป้องกันไม่ให้เกิด แต่เขาถูกสั่งไม่ให้พูดเลย” คุณประศาสน์กล่าว
พร้อมรับมือศาลโลก?
ขณะที่ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย บอกว่า เรียนข้อเท็จจริง จนถึงตอนนี้ รัฐบาลไทยยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการใด ๆ จากกัมพูชาเรื่องศาลโลก ตอนนี้ไทยไม่รู้เลยว่า รายละเอียดคำร้องห้องเราว่าอย่างไร ใช้ฐานอำนาจอะไรมาฟ้อง
แต่ยืนยันว่า กรมสนธิสัญญาและกฎหมายไม่ได้นิ่งนอนใจ มีทีมเตรียมการรับมืออยู่ ทั้งประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เตรียมการพร้อมทุกความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้น และมีที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็นที่ปรึกษาให้เรา
ในส่วนของหลักการ ชี้ว่า การนำเรื่องเข้าศาลโลก สองฝ่ายต้องยอมรับอำนาจศาลเสียก่อน ซึ่งกรณีของไทยอย่างที่ยืนยันมาตลอดว่า เราไม่รับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 เช่นเดียวกับอีก 118 ประเทศที่ไม่รับ
การจะไปศาลโลก ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงว่า จะขึ้นศาลเรื่องอะไร อย่างไร การไปศาลโลกไม่เหมือนคนสองคนไปขึ้นศาลปกติ ต้องตีกรอบในการไปขึ้น ซึ่งประเด็นนี้กัมพูชานำเสนอเรื่องต่อสาธารณชนแทนที่จะคุยกับไทย เป็นเรื่องน่าเสียดาย เป็นการปิดโอกาสที่จะได้คุยเปิดอก แก้ไขความขุ่นข้องหมองใจและข้อติดขัดที่มี
แม้แต่ใน MOU43 สนธิสัญญาไทย-กัมพูชาเรื่องการปักปันเขตแดน ข้อ 8 ระบุชัดเจนว่า “หากมีปัญฆาในการตีความหรือบังคับใช้ ให้ทั้งสองฝ่ายรึกษาหารือหรือเจรจากันก่อน” จึงมองว่า สิ่งที่กัมพูชาทำตอนนี้ “ข้ามขั้นตอน”
หรือถ้าดูกฎบัตรสหประชาชาติเอง ก็เน้นการให้คู่กรณีคุยกันก่อน รวมทั้งมีกลไกอื่น ๆ อีกมากก่อนจะไปศาลโลก ต้องไปเมื่อสองฝ่ายไม่สามาถตกลงได้จริง ๆ เท่านั้นถึงไป แต่ข้อเท็จจริงคือ ไทย-กัมพูชายังไม่เคยพูดเรื่อง 4 พื้นที่นี้เลย
นายเบญจมินทร์ สมองว่า สิ่งที่กัมพูชาทำตอนนี้ สุดท้ายหนีไม่พ้นต้องย้อนมาปักปันเขตแดนโดยอาศัยกลไกทวิภาคีที่มี ยืนยันว่าไม่ใช่เราหนีหรืออะไร แต่ยากให้อยู่กับข้อเท็จจริง เรามีกรอบ มีสนธิสัญญาที่พร้อมในการใช้ปฏิบัติงาน สุดท้ายย้ำว่าเรามีกลไลทวิภาคที่มีประสิทธิภาพ เรียกร้องให้กัมพูชากลับมาใช้เครื่องมือที่มีอยู่ก่อน