ดร.นายแพทย์หิรัญวุฒิ แพร่คุณธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยเหตุผลที่พบผู้ป่วย “ไข้รากสาดใหญ่” เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม เนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง อุณหภูมิลดลง เหมาะต่อการแพร่พันธุ์ของไรอ่อน ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อ ประกอบกับฤดูปลายฝนต้นหนาวนั้นเหมาะกับการเดินป่าของนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ไปตั้งแคมป์ในป่า/ภูเขา หากแต่งกายไม่รัดกุม ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกไรอ่อนกัด
ซึ่งตัวไรอ่อนจะพบมากบริเวณกอหญ้า หรือพื้นที่เกษตรที่มีหญ้าขึ้นรก จึงเพิ่มโอกาสให้คนถูกกัดและติดเชื้อได้ อีกทั้งเป็นฤดูกาลที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าว ทำไร่ หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีตัวไรอ่อนอาศัยอยู่ โดยทั่วไปไรอ่อนจะอาศัยหนู สัตว์ฟันแทะเป็น “แหล่งรังโรค” สำหรับสถานการณ์โรคไข้รากสาดใหญ่ปี 2568 เขตสุขภาพที่ 7 (ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) พบผู้ป่วยสะสม 477 ราย อำเภอที่พบสูงสุดคือ อำเภอสุวรรณภูมิ รองลงมาคือ อำเภออาจสามารถ และอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ตามลำดับ
ไข้รากสาดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย โดยถูกไรอ่อนที่มีเชื้อกัด ไรอ่อนมักอาศัยอยู่ในกอหญ้า ป่าละเมาะ พื้นที่ชื้นใกล้ป่า หรือทุ่งนา เมื่อคนได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการเฉลี่ย 10 – 12 วัน โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการได้ตั้งแต่ไข้สูงติดต่อกันหลายวัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไอ คลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีตาแดง บริเวณที่ถูกกัด อาจมีแผลเป็นจุดคล้ายถูกบุหรี่จี้ (แผลอาจไม่เจ็บ/ไม่คัน) ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยโดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมอง / สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
การป้องกันการถูกไรอ่อนกัด
- สวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด (เสื้อแขนยาว, กางเกงขายาว)
- เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง ใช้สารไล่แมลง / ยากันแมลงบริเวณผิวหนังหรือเสื้อผ้า
- หลีกเลี่ยงการนอนหรือนั่งบนพื้นดินหรือหญ้าโดยตรง
- หลังกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรรีบอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย สระผม และซักเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้สะอาดด้วยน้ำและผงซักฟอก เพื่อกำจัดตัวไรอ่อนที่อาจติดมากับเสื้อผ้า
กลุ่มเกษตรกรควรระวังเป็นพิเศษ หากมีสัตว์เลี้ยงในบริเวณบ้าน ควรดูแลความสะอาด ไม่ให้มีหนูหรือพาหะอาศัยอยู่ ตัดหญ้าและพรวนดินรอบบริเวณบ้านให้สะอาด หากมีอาการ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว ผื่นขึ้น หรือตาแดงโดยเฉพาะถ้าพบ “แผลคล้ายบุหรี่จี้” ที่ผิวหนังควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมกับแจ้งประวัติการ เข้าไปในป่าหรือทุ่งนา เพื่อช่วยให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง ห้ามซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422