คริปโทเคอร์เรนซี (cryptocurrencies) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา โดยคนส่วนหนึ่งลงทุนด้วยความเชื่อว่าคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินในโลกอนาคตที่สามารถมาทดแทนเงินของธนาคารกลางที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผ่านเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง โปร่งใส และเป็นเครื่องรักษามูลค่าของตัวเองได้ด้วยปริมาณอุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัด
ส่งอัยการฟ้อง 3 ราย รวม 24.16 ล้าน สร้างปริมาณซื้อขายเทียมในบิทคับ
ร่วงกันระนาว "หุ้น-น้ำมัน-ทอง-บิตคอยน์" แห่ตุนดอลลาร์รับเศรษฐกิจถดถอย
แต่อีกด้านหนึ่ง บิตคอยน์และคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติของเงิน จาก 3 ข้อหลัก คือ
1. สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ความสามารถในการทำธุรกรรมที่จำกัด
2. มาตรฐานการใช้วัดมูลค่า อย่างบิตคอยน์ ยังมีความผันผวนสูงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น
3. เครื่องรักษามูลค่า ในอนาคตยังไม่สามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าผู้คนจะยังเชื่อมั่นในบิตคอยน์ และยังต้องระวังความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ค Private Key หรือความเสี่ยงทางไซเบอร์อื่นๆ ความถึงมูลค่าความผันผวนของบิตคอยน์ทำให้ไม่สามารถเป็นเครื่องรักษามูลค่าที่ดีได้
เพราะฉะนั้น การยอมรับบิตคอยน์อาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะ
1. ต้นทุนธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อขนาดของระบบใหญ่ขึ้น หากความต้องการในการทำธุรกรรมเพิ่มสูงขึ้นในระบบบิตคอยน์จะทำให้ network มีความแออัดและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นซึ่งจะดึงดูดให้จำนวนนักขุดเข้ามาในระบบมากขึ้นแต่จะทำให้ความล่าช้าในระบบเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งจะทำให้อัตราการใช้บิตคอยน์ (adoption rate) ลดลง
2. ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินใหม่ การเปลี่ยนไปใช้สกุลใหม่ยังมีต้นทุนที่สำคัญ คือ network effect ของสกุลเงินที่ถูกใช้อยู่เป็นประจำ หากสกุลเงินปัจจุบันไม่ได้เสียกำลังการซื้ออย่างรุนแรงจะทำให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินใหม่มีน้อย
3. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าของบิตคอยน์ลดลง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นตามแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้และสภาพคล่องที่ถูกดูดออกมากขึ้นโดยเฉพาะนโยบาย QT ในสหรัฐ ฯ จะทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการครอบครองสินทรัพย์ที่ไม่ผลิตกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นและจะสร้างแรงกดดันที่มากขึ้นกับราคาของบิตคอยน์ และความผันผวนของบิตคอยน์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้การยอมรับในการใช้บิตคอยน์ลดลงได้
4. การแข่งขันในตลาดของสกุลเงินอาจไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การแข่งขันของสกุลเงินเอกชนอาจไม่ก่อให้เกิดเสถียรภาพทางด้านราคา หรือเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ เนื่องจากผู้ประกอบการมีแรงจูงใจในการสร้างสกุลเงินเพิ่มเติมเพื่อกำไรจากการสร้างเหรียญ
5. รัฐบาลในหลายประเทศยังไม่ยอมรับให้คริปโทเคอร์เรนซีเป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย การไม่ได้รับการยอมรับจากภาครัฐ และความเสี่ยงในอนาคตที่ภาครัฐต้องมีการกำกับดูแลคริปโทเคอร์เรนซีจะทำให้ต้นทุนและอุปสรรคในการใช้งานคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้น รวมถึงจะจำกัดความสามารถในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือชำระหนี้ได้
ขณะเดียวกัน ยังสร้างข้อจำกัดอย่างมากต่อ "การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ" หากมีการใช้คริปโทเคอร์เรนซี เพราะ ปริมาณการเงินที่เติบโตอย่างจำกัด จะทำให้ไม่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจระยะยาว เนื่องจากการกำหนดให้เงินมีปริมาณคงที่ทำให้ไม่สามารถปรับปริมาณเงินที่เหมาะสมต่อสภาวะเศรษฐกิจได้ รวมถึงระบบที่ไม่มีผู้ดูแลทางการเงิน จะไม่สามารถสร้างความมั่นใจในระบบการเงินในยามวิกฤตได้
ความเสี่ยงของคริปโทเคอร์เรนซี
การคาดเดาทิศทางของราคาบิตคอยน์
KKP Research ประเมินว่าปัจจัยทั้งหมดนี้เป็
นอกจากนี้ การมีอยู่ของคริปโทเคอร์เรนซี