ญาติและเพื่อนๆ ร่วมไวอาลัยการจากไปของ นางสาวศิริกุล ราศีทรัพย์ หรือ “โบ๊ท” สาววัย 34 ปี ที่เสียชีวิตหลังไปทำศัลยกรรมตกแต่งหน้าท้อง กับคลีนิคแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
สอบถามน้าสาวของ “โบ๊ท” บอกว่าที่ผ่านมาก็รู้เรื่องที่หลานสาวจะไปทำศัลยกรรมตลอด เพราะที่ผ่านมาก็ได้มาปรึกษาและพูดคุยกัน ก่อนจะตัดสินใจไปทำ “โบ๊ท” ได้เปิดดูเพจต่างๆ ติดต่อสอบถามไปจนได้เลือกคลีนิคดังกล่าว
สาวแจ้งความกลับคลินิกดัง ปมทำศัลยกรรมไม่เป็นไปตามข้อตกลง
คลีนิกศัลยกรรม ฟ้องลูกค้าหมิ่น อ้างใช้หมอดูผ่าตัด
จนกระทั่งได้นัดให้ไปทำเมื่อวันที่ วันที่ 26 พฤษภาคม เมื่อไปถึงทางเจ้าหน้าที่ก็ให้เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด จนเวลาประมาณ 10 โมงเจ้าหน้าที่ก็พา “โบ๊ท” เข้าไปห้องผ่าตัด
ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถูกนำตัวออกมาที่ห้องพักฟื้น ช่วงนั้นทางน้าสาวก็ได้เข้าไปดูอาการด้วย ก็ยังได้พูดคุยและถ่ายรูปกัน จนสักพักก็บอกว่าปวดแผล จึงแจ้งเจ้าหน้าที่คลินิก ก่อนจะนำยาแก้ปวดมาฉีดให้ผ่านทางสายน้ำเกลือ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เริ่มมีอาการหายใจไม่ออก จากนั้นก็หมดสติไป เจ้าหน้าที่ของคลีนิคได้ทำ CPR ในห้องผ่าตัด เวลาผ่านไป 30 นาที ก็รีบนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลวชิระที่อยู่ใกล้กับคลีนิค และส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า
ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 8 มิถุนายน โดยแพทย์ลงความเห็นว่า สาเหตุการเสียชีวิตจากอาการสมองขาดอากาศหายใจนานเกิน 5 นาที
น้าของ “โบ๊ท” บอกว่า หลานตัดสินใจไปทำศัลยกรรม เพราะอยากให้ตัวเองดูดี เนื่องจากมีอาชีพขายเครื่องสำอาง ขายประกัน ต้องพบคนจำนวนมาก ที่ผ่านมาครอบครับก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
ทางทีมข่าวพยายามติดต่อเจ้าของคลินิกศัลยกรรมดังกล่าว ปฎิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ บอกเพียงว่า ทางคลินิกได้ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าท้องให้กับผู้เสียชีวิตจริง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ซึ่งการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ได้ติดปัญหาอะไร หลังผ่าตัดเสร็จก็ยังรู้สึกตัวดี และยืนยันว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก็ช่วยเหลือเยียวยาตลอด ทั้งให้ที่พัก และให้เงินค่าเดินทางกับญาติผู้เสียชีวิต
ส่วนประเด็นที่ญาติสงสัยเรื่องตัวยาแก้ปวดที่ฉีดให้ ก่อนผู้เสียชีวิตช็อกหมดสติไปนั้น เจ้าของคลินิกระบุว่าอยู่ในระหว่างตรวจสอบข้อมูล มั่นใจว่าทั้งหมอ และเจ้าหน้าที่ ทำตามหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
ส่วนทางคดี สารวัตรสอบสวน สน.เตาปูน เปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน และเตรียมเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบปากคำ เบื้องต้นยังไม่ได้แจ้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมถึงเจ้าของคลินิก เพราะต้องรอผลชันสูตรจากโรงพยาบาลก่อนเพื่อตรวจสอบสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง