“หญิงไก่” โผล่ตุ๋นเงินอดีตครู 15 ล้านบาท อ้างรู้จักทักษิณ

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาผู้เสียหาย น.ส.ญาดาภา ลักษณัย อายุ 79 ปี ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์โรงเรียนแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีหลังจากถูก "หญิงไก่” หรือ นางมณตา หยกรัตนกาญ อดีตผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง คดีฉ้อโกง และคดีค้ามนุษย์ เมื่อหลายปีก่อน

ตร.จำลองเหตุการณ์ คอนโดมิเนียม หญิงไก่ หาข้อเท็จจริง

รอง ผบก.ป. เผย “หญิงไก่” ต้องรับโทษแม้มีอาการทางจิต

ซึ่งหลังจากพ้นโทษเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ได้กลับมาใช้กลอุบายหลอกลวงเอาเงินสดและทรัพย์สินอื่นๆของผู้เสียหาย รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท

นายเอกภพ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ผู้เสียหายเคยถูกหญิงไก่หลอกฉ้อโกงทรัพย์ไปแล้วกว่า 14 ล้านบาท เมื่อปี 2559 หลังจากนั้นหญิงไก่ก็ตกเป็นข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูง และฉ้อโกงผู้เสียหายรายอื่น จนถูกจำคุกและเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2564 เมื่อพ้นโทษออกมาแล้วหญิงไก่ก็ติดต่อมาหาอดีตครู โดยใส่ชุดขาวนุ่มขาวห่มขาวอ้างว่าถือศีลกลับตัวกลับใจเป็นคนดีและมาขอเป็นลูกบุญธรรม

จากนั้นได้มีการนำรูปที่หญิงไก่ ถ่ายคู่กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าสามารถช่วยให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ต่างประเทศกลับมาไทยได้ แถมยังมีการโชว์รูปถ่ายคู่กับเช็คเงินสด ซึ่งสั่งจ่ายจากนายทักษิณ และเซ็นมอบให้หญิงไก่ มูลค่า 50 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,000 ล้านบาทมาให้ดู แต่อ้างว่าจะยังไม่นำไปขึ้นเงิน เพราะไม่ต้องการแบ่งเงินกับสามี เพราะตอนนี้กำลังฟ้องหย่ากันอยู่ จึงได้ขอยืมเงินอดีตครูก่อนเพื่อมาขอเสนอซื้อที่ดินและอพาร์ทเม้นต์ของผู้เสียหาย และหากอดีตนายกฯกลับมาประเทศไทยก็จะคืนเงินให้ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงนำเอกสารสำคัญต่างๆไปมอบให้หญิงไก่ จากนั้นก็เอาที่ดินไปประกาศจำนองโดยที่ไม่รู้ตัว สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท

ส่วนที่หญิงไก่อ้างว่าทางผู้เสียหายไปข่มขู่แบล็คเมล์เพื่อเรียกเงิน 20 ล้านบาทนั้น อดีตครูบอกว่า หากมีหลักฐานก็นำมาแสดงได้เลย และหากจะแจ้งความที่ตนเองออกมาเคลื่อนไหวในวันนี้ ก็ให้ไปแจ้งความได้เลย ส่วนกรณีที่ศาลยกฟ้องในคดีฉ้อโกงก่อนหน้านี้ ยืนยันว่าเป็นคนละคดีกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร ไ ม่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในครั้งนี้

ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่า หญิงไก่ จะไปแถลงข่าวทที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี พร้อมทนายความ โดยยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความจริง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นความจริง ทำไมจึงไม่ไปแจ้งความแต่แรก แต่กลับใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการเข้าแจ้งความ