นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ที่ สภ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลังถูกตำรวจออกหมายเรียก กรณีสวมบัตรประจำตัวประชาชนให้กับชาวจีน ซึ่งเชื่อมโยงกับคดีที่มีชายชาวจีน ถูกกลุ่มคนร้ายลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ มีการทำร้ายร่างกาย และตัดนิ้วมือ เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จนเป็นข่าวดังไปก่อนหน้านี้
โดยคดีดังกล่าว ตำรวจขยายผลจากกรณีที่ น.ส.อลิศรา หรือ หย่ง ศุภสิริบัณฑิตย์ แฟนสาวของชายชาวจีนที่ถูกอุ้ม ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าแจ้งความ
“ชูวิทย์” แฉ พล.ต.ต.เพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กโจ๊ก เอี่ยวรับส่วยแปลงวีซ่าทุนจีนสีเทา
“บิ๊กโจ๊ก”ส่งหนังสือถึงทูตจีน สอบประวัติ“ตู้ห่าว”เพิกถอนสัญชาติไทย
จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.อลิศรา เป็นบุคคลสัญชาติไทย ได้นำบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง แต่กลับพูดภาษาไทยไม่ชัด จนตำรวจพบพิรุธ ว่า อาจจะมีการสวมบัตรประจำตัวประชาชน
ตำรวจฝ่ายสืบสวน จึงนำภาพถ่าย บิดา-มารดาตามทะเบียนราษฎร์ของ น.ส.อลิศรา ให้น.ส.อลิศราดู แต่เธอกลับบอกว่าไม่รู้จักบุคคลทั้งสอง สุดท้ายยอมรับสารภาพว่า บัตรประชาชนที่ได้มา ได้ว่าจ้างให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวดำเนินการ โดยจ่ายเงินให้หัวละ 8 แสนบาท เป็นที่มาให้ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนออกหมายเรียก และหมายจับผู้เกี่ยวข้อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ คือ นายอาเบ แซ่ลี่ กำนัน ,นายอมรเทพ ปุกคำ ผู้ใหญ่บ้าน และนายวาเซ คล่องดารณี และเข้ามอบตัว 1 ราย คือ นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอ
เบื้องต้นแจ้งข้อหา ''เป็นเจ้าพนักงานและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ'' ส่งตัวทั้งหมดให้ ปปช. จ.เชียงใหม่ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เมื่อวานนี้ เข้าไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่สำนักงานจเรตำรวจ เปิดเผยว่า ช่วงปี 2563-2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 และ 5 มีความเชื่อมโยงกับมูลนิธิผี และสมาคมเถื่อนในการออกวีซ่านักศึกษาไปกว่า 7,000 คน โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่น มีมากถึง 3,000 คน เชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้อีกหลายพื้นที่ ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ ตม. ถึงไม่สงสัย ทำไมมูลนิธิผีถึงมีการขอออกวีซ่าจำนวนมาก รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบบ้างหรือไม่ ซึ่งมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคนหนึ่งรับราชการไม่กี่ปี แต่มีรถหรูเปอร์เช่ มีคอนโดฯ อยู่ย่านหลังสวน
อีกทั้งก่อนมาพบจเรตำรวจแห่งชาติ มีบุคคลติดต่อมาเพื่อขอละเว้นส่งรายชื่อในการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้ตัวเองมองว่าไม่สามารถละเว้นได้ พร้อมเดินหน้าเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ตาม ยิ่งต้องให้ตรวจสอบ เพราะเคยให้สัมภาษณ์มาก่อนหน้านี้ว่าจะเอาผิดโดยไม่ละเว้น
ล่าสุด นายชูวิทย์ โพสต์ถึงกรณีที่ ผบ.ตร.เตรียมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดรับเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ โดยระบุว่าขบวนการจีนสีเทา มีลักษณะเป็น “อั้งยี่ ซ่องโจร” ทำเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ถือว่าเป็นคดีใหญ่ในรอบ 30 ปี ที่ผลกระทบเสียหายมากมายต่อประเทศ ต้องขอบคุณ ผบ.ตร. ที่เห็นความสำคัญของคดีนี้ และให้อัยการ ตำรวจ มาร่วมมือกันตามที่ตนเสนอ
การขยายผลของตนมี 2 ภาค โดยภาคแรกคือวันนี้ ตอนบ่าย 3 โมง ส่วนภาคสองเริ่ม 11.30 น. วันศุกร์นี้ที่ รพ.ตำรวจ จะแถลงร่วมกับท่าน ผบ.ตร. และแถลงข่าวต่อเวลาบ่าย 3 โมง เรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องผับ “จินหลิง” แต่กระเพื่อมไปไกลเป็นวงกว้างเหมือน “สึนามิ” ลามไปหมดทุกวงการ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ทุกสถาบัน