ความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “ผู้กำกับโจ้” ที่ถูกพบแขวนคอเสียชีวิตภายในห้องขัง ที่เรือนจำกลางคลองเปรม วันที่ 8 มีนาคม 2568 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ “ทนายเดชา” ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว PPTV ถึงกรณีดังกล่าวว่า ย้อนกลับไปตั้งแต่มีคดีเรื่องถุงดำ ในตอนนั้นมีตำรวจมาให้ข้อมูลตนเองว่า มีผู้กำกับคนหนึ่งสอบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติด และมีการใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาเสียชีวิต
ซึ่งตำรวจผู้ที่มาให้ข้อมูลกับทนายเดชานำเรื่องไปร้องเรียน แต่ว่าปรากฏว่าเรื่องเงียบ ในตอนนั้นตนจึงนำเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook และแจ้งไปยังนักข่าว และไปออกตรายการต่าง ๆ จนเป็นกระแสที่สังคมให้ความสนใจเป็นข่าวใหญ่ และมีการออกหมายจับผู้กำกับโจ้พร้อมพวกจนศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต และลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต
ส่วนกรณีกล่าวอ้างของ “ทนายผู้กำกับโจ้” ที่แจ้งว่า “ผู้กำกับโจ้” เคยถูกทำร้ายร่างกาย มีเอกสารทางการแพทย์ยืนยัน แต่เมื่อตำรวจจะไปสอบสวนข้อเท็จจริงในเรือนจำ กลับไม่ได้รับการอนุญาตจากทางเรือนจำนั้น “ทนายเดชา” ให้ความเห็นว่า ตนก็ไม่ทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ เพราะตอนนี้ทางเรือนจำก็ปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงทางพนักเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อาจถูกดำเนินคดีเอาผิดในมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าข้อมูลที่ข้อมูลจากฝั่งทนายผู้กำกับโจ้ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ทนายเดชา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามหากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ไม่ควรที่จะปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าไปสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ถ้าให้ตนเองคาดเดาว่ามีเหตุผลในการปฎิเสธนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องของการไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าก่อนหรือไม่ อยากที่จะต้องการรักษาความปลอดภัยหรือรักษาความลับหรือไม่ แต่โดยทั่วไปก็ไม่ควรที่จะมีเหตุผลในการปฏิเสธ
ส่วนการคุ้มครองสิทธิ์ผู้ต้องขัง “ทนายเดชา” เผยว่า มีกฎหมายป้องกันการทรมาน สามารถแจ้งความไปดำเนินคดีได้ ซึ่งล่าสุดตนทราบมาว่าขั้นตอนต่อไปจะมีการนำศพ “ผู้กำกับโจ้” ไปชันสูตรเพื่อพิสูจน์สาเหตุของการตายต่อไปซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะส่งไปที่ตำรวจ หรือว่ากระทรวงยุติธรรม สามารถทำได้ทั้ง 2 ทาง เพื่อพิสูจน์ว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากอะไร และถ้าหากฝั่งญาติของผู้เสียชีวิตมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถไปฟ้องศาลหรือแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนได้
ผู้สื่อข่าวถามเพิ่มถึงกรณีการฆ่าตัวตายภายหลังจากที่ญาติเข้าเยี่ยมผู้เสียชีวิตเพียงช่วงบ่าย ก่อนที่จะมีการเสียชีวิตในช่วงกลางดึก “ทนายเดชา” มองว่า ถ้าให้มองประกอบกับลูกความของตนที่เคยทำคดีมาแล้ว คนที่ต้องการที่จะฆ่าตัวตายหรือปลิดชีพตนเอง จะเขียนจดหมายลาตายหรือส่งเสียญาติก่อนที่จะลงมือปลิดชีพตัวเอง “ตายโดยไม่สั่งลามันไม่มีหรอก ยกเว้นถูกบังคับให้ตาย”
ในส่วนของหลักฐานพยานการเสียชีวิตตามที่ปรากฏตามข่าวว่าเรือนจำมีกล้องวงจรปิด และกรมราชทัณฑ์แจ้งว่า “ผู้กำกับโจ้” มีอาการป่วยทางจิต หวาดระแวงกลัวคนทำร้ายร่างกายนั้น “ทนายเดชา” มองว่า นั่นหมายความว่าเป็นผู้ต้องขังที่ต้องระวังเป็นพิเศษ และทางกรมราชทัณฑ์ต้องออกมาชี้แจงเหตุผลที่ปล่อยให้ผู้ต้องขังผูกคอตายเสียชีวิต เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่กระจ่าง สังคมโลกอาจตั้งข้อสงสัยและประณามการกระทำของเรือนจำประเทศไทยได้
ส่วนการเปิดเผยข้อมูลหลักฐานที่เป็นภาพกล้องวงจรปิด “ทนายเดชา” มองว่าเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะชนเพื่อชี้แจงต่อสังคม เพราะตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง และไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับ
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเป็นห่วงในคดีนี้ “ทนายเดชา” มองว่า น่าเป็นห่วงตรงที่การเสียชีวิตอยู่ในการควบคุมและดูแลของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพราะฉะนั้นพยานหลักฐานต่าง ๆ ก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อว่าทางกรมราชทัณฑ์จะนำข้อเท็จจริง และหลักฐานมาเปิดเผยมากเพียงใด ก็อยู่ที่ความจริงใจของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนในการสอบสวน