เมื่อสถานะการยืนยันตัวตนสมบูรณ์ ผู้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติจึงจะสามารถใช้สิทธิสวัสดิการผ่านบัตรประจำตัวประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ในกรณีที่ผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติที่ยืนยันตัวตนสำเร็จตั้งแต่วันที่ 1 – 26 มีนาคม 2566 จะสามาถใช้สิทธิได้เต็มสิทธิทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย
สิทธิใหญ่ที่ 1 การลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน แบ่งเป็น 2 สิทธิย่อยคือ
1. วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน
2. วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน 80 บาทต่อคน ต่อ 3 เดือน
สิทธิใหญ่ที่ 2 คือ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ จำนวน 750 บาทต่อคนต่อเดือน โดยสามารถใช้โดยสารได้กับระบบขนส่ง 8 ประเภท โดยไม่จำกัดวงเงินตามประเภทรถ ได้แก่
- รถเมล์ ขสมก.
- รถไฟฟ้าบีทีเอส / รถไฟฟ้ามหานคร หรือรถไฟใต้ดิน MRT และ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
- รถ บขส.
- รถไฟ
- รถเอกชนร่วม ขสมก. รถเอกชน และส่วนราชการกรุงเทพมหานคร
- รถเอกชนร่วม บขส. และรถเอกชน
- รถสองแถวรับจ้าง
- เรือโดยสารสาธารณะ
สิทธิใหญ่ที่ 3 คือ ลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
โดยผู้มีบัตรฯ ไม่ต้องชำระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาล่วงหน้าโดยกระทรวงการคลังจะชำระตรงให้แก่ผู้ให้บริการ
1. กรณีค่าไฟฟ้า
- ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนติดกัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
- แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ผู้มีบัตรได้รับวงเงินสำหรับชำระค่าไฟฟ้า วงเงิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) ที่ได้รับสิทธิจะเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
2.กรณีค่าน้ำประปา
- อุดหนุนค่าน้ำประปาจำนวน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
- กรณีที่ใช้น้ำประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีบัตรฯ ที่ได้รับสิทธิ ยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาท ด้วยตนเอง แต่หากผู้มีบัตรฯ ที่ได้รับสิทธิมีการใช้น้ำประปาเกิน 315 บาท ผู้มีบัตรฯ ที่ได้รับสิทธิจะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด