คอลัมน์ ต้น...ทางฟุตบอล by ต้น วโรดม : ธันวาวิปโยค ... อาถรรพ์ที่รอคอยการทำลายจากเจอร์เก้น คล็อปป์
คอลัมน์ ต้น...ทางฟุตบอล by ต้น วโรดม

ไม่รู้ว่าการมาดูฟุตบอลรอบนี้ของผมจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย การได้เห็นทีมเก็บชัยชนะรวดทั้ง 2 เกมที่เข้าชม, เก็บคลีนชีตไม่เสียประตูทั้ง 2 เกม, ได้พบปะขอลายเซ็นและถ่ายรูปกับเจอร์เก้น คล็อปป์, ได้เห็นเหล่าลูกกรอกคะนองนาอย่าง เทรน อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ และเบน วู้ดเบิร์น แจ้งเกิดที่แอนฟิลด์แบบติดขอบ นี่อาจจะเรียกว่าโชคดีและเป็นสิ่งที่แฟนบอลเดอะ ค็อปทั้งหลายถวิลหา แต่ในทางกลับกันการได้เห็นฟิลิปเป้ คูตินโญ่ โดนเสียบจนเอ็นข้อเท้าบาดเจ็บต้องพัก 5 สัปดาห์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตที่ทำให้สตาฟฟ์โค้ชและแฟนบอลลิเวอร์พูลหนักใจเหลือเกินที่ต้องขาดสตาร์ลูกหนังหมายเลข 1 ของทีมเวลานี้ไป ... เรื่องรีวิวการไปสนามแอนฟิลด์รอบนี้เดี๋ยวผมจะเขียนให้ได้อ่านกันอีกที วันนี้ขอข้ามไปก่อน รับประกันว่ามีซี๊ดแน่นอน ใครไม่ติดตามกันอดอ่านนะ ฮา ที่สำคัญผมอัดคลิปในเมนสแตนด์มาให้ชมด้วย อิอิ
เข้าสู่เดือนธันวาคม สถานการณ์ของพรีเมียร์ลีกเวลานี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนนัก เชลซีของอันโตนิโอ คอนเต้ ยังแรงอย่างต่อเนื่อง 2 นัดล่าสุดไล่ทุบชนะทั้งสเปอร์สและแมนฯซิตี้ โดยเฉพาะนัดล่าสุดที่บุกไปทุบทีมของเปป กวาดิโอล่าถึงถิ่น 1-3 เก็บชัยชนะเป็นนัดที่ 8 ติดต่อกัน ครองจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น พูดตรงๆว่าเชลซีเป็นทีมที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้เลยทีเดียว เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกอันตราย ลิเวอร์พูลโชคดีมากที่สามารถบุกไปเอาชนะเชลซีได้ก่อนในวันที่เชลซียังจูนเครื่องกันไม่ติด และความโชคดีอันนี้ก็ถือว่าเป็นความได้เปรียบเล็กๆของลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เกมเจอเชลซีที่เหลืออยู่นั้น คือการต้อนรับเชลซีที่แอนฟิลด์ ในช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นเชลซีจะต้องสะดุดลงบ้างอย่างแน่นอน !! (ถ้าไม่สะดุดโอกาสสะดุดก็มาถึงแล้วในเกมนี้ ฮา) ในขณะที่อันดับ 2 หลังจบเกมวันเสาร์มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ อาร์เซน่อลแซงขึ้นมาตามหลังเชลซีทีมนำ 3 คะแนน หลังบุกไปถล่มเวสต์แฮมถึงถิ่น 1-5
แต่ปัญหาของอาร์เซน่อลก็ยังเหมือนเดิม คือ ความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นไป ที่ขุนพลปืนโตมักจะทำผลงานได้ไม่ดี และเฟดตัวเองออกไปจากการลุ้นแชมป์ในที่สุด สำหรับปืนใหญ่แม้ฟอร์มจะดีขนาดไหนแต่ก็ต้องดูกันนานๆ ในขณะที่แมนฯซิตี้ตกมาเป็นอันดับ 4 แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าการที่เซอจิโอ กุน อเกวโร่ จะต้องติดโทษแบนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ถึง 3 เกม และอาจจะเพิ่มเป็น 4 เกม หากคณะกรรมการพิจารณาโทษตัดสินแบนเพิ่ม เนื่องจากในฤดูกาลนี้กุนเคยโดนแบนจากปัญหาเรื่องพฤติกรรมมาแล้ว นอกจากกุนแล้วยังมีแฟร์นานดินโญ่อีกคนที่จะต้องติดโทษแบนหลังจากโดนใบแดงในเกมล่าสุด เรียกได้ว่างานนี้แมนฯซิตี้ งานเข้าแบบเต็มๆเลยก็ว่าได้
มาดูที่ลิเวอร์พูลที่หล่นมาที่ 3 แบบชั่วคราวกันบ้าง งานนี้ขอเพียงแค่ชนะบอร์นมัธในวันนี้ก็จะทำแต้มจี้เชลซีกลับไปเหลือ 1 แต้มเท่าเดิม พร้อมกับก้าวกลับขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงอีกครั้งแบบเดี่ยวๆ การเยือนบอร์นมัธที่ชื่อชั้นอาจจะเป็นรองแต่หากใครได้ชมผลงานของบอร์นมัธในซีซั่นนี้ต้องบอกเลยว่าทีมนี้ไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนกับการที่จะไปเก็บ 3 แต้มที่ดีน คอร์ท (วิตาลิตี้ สเตเดี้ยม) ที่ในฤดูกาลนี้แบ่งแต้มกับเอฟเวอร์ตัน และท็อทแน่ม ฮอตสเปอร์ส มาแล้ว โดยเฉพาะในเกมนี้ที่ลิเวอร์พูลจะไม่มีตัวหลักอย่างฟิลิปเป้ คูตินโญ่ รวมถึงดาเนียล สเตอริดจ์ ก็ยังไม่พร้อมที่จะลงสนามในเกมนี้ ข่าวดีของลิเวอร์พูลคงมีแค่การผ่านการทดสอบความฟิตของอดัม ลัลลาน่า ที่น่าจะกลับมามีชื่ออยู่ในเกมนี้อีกครั้ง เช่นเดียวกับโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และโจเอล มาติป 2 ตัวหลักที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บเล็กน้อยผ่านความฟิตพร้อมลงสนามในเกมนี้ได้แน่นอน ... จริงๆผมคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บน่าจะมาเยี่ยมเยียนลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ในเร็ววันนี้ แต่ก็ไม่คิดนะว่าจะมาเร็วถึงขนาดได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ คือ ด้วยสไตล์การเล่น และการซ้อมที่ค่อนข้างหนักมันทำให้ผู้เล่นล้าและนำมาสู่ปัญหาอาการบาดเจ็บได้ง่ายๆอยู่แล้ว
ถ้าเราจำกันได้ในฤดูกาลก่อนที่คล็อปป์เข้ามาคุมใหม่ๆ ปัญหาอาการบาดเจ็บนี่แหละที่เล่นงานทีมอย่างหนัก ถึงขั้นมีผู้เล่นบาดเจ็บมากถึง 10 คน ในช่วงเวลาเดียวกันเลย ปีนี้แม้ลูกทีมจะเริ่มปรับสภาพได้ แต่ผมก็ยังคิดว่าในช่วงหลังปีใหม่ก็คงมีผู้เล่นทะยอยบาดเจ็บกันบ้าง แต่นี่ดันมาเจ็บตั้งแต่ช่วงธันวาคม ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่มีโปรแกรมโหดที่สุดของลีกที่บนโลกใบนี้จะมี โหดขนาดที่ว่า เดือนนี้เดือนเดียว ลิเวอร์พูลมีโปรแกรมลงเตะมากถึง 6 เกมเลยทีเดียว โชคอาจจะไม่ได้เข้าข้างทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์มากนัก แต่นี่ก็ถือเป็นบททดสอบสำคัญที่คล็อปป์จะได้เห็นว่าขนาดทีมที่ตัวเองมีอยู่นั้นเพียงพอต่อการลุ้นแชมป์หรือไม่ ก่อนที่จะได้ปรับทีมกันอีกครั้งในตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ... ก็ถือว่าเป็นความโชคร้าย ที่มีความโชคดีเข้ามาปน เพราะว่าเจ็บตอนนี้อย่างน้อยก็ยังหาคนมาแทนได้ตอนเดือนมกราคม ดีกว่าเจ็บเดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคม ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาล ช่วงนั้นคงจะลำบากหนักกว่านี้แน่ เพราะตลาดนักเตะปิดตัวไปแล้วนั่นเอง
สิ่งที่ผมหวาดกลัวไม่ใช่เรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่เรื่องฟอร์มการเล่น หรือโปรแกรมการแข่งขันที่โหดร้ายแต่อย่างใด สิ่งที่ผมหวาดกลัวนั่นคือ “อาถรรพ์เดือนธันวาคม” เพราะเมื่อปฎิทินแวะผ่านเข้ามาถึงเดือนนี้เมื่อไร ลิเวอร์พูลที่ว่าทำผลงานมาได้ดีดี มักจะมีปัญหาทุกครั้ง ผมได้รวบรวมสถิติ 5 ปีหลังสุดรวมถึงปีที่ได้รองแชมป์ทั้ง 3 ครั้ง นับตั้งแต่เปลี่ยนเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีกมาให้ได้ดุกันเป็นตัวอย่าง ขออนุญาตตัดมาแค่นี้ เพราะว่าปีอื่นๆก็แทบไม่แตกต่างกัน นั่นคือ ลิเวอร์พูลเก็บแต้มในเดือนธันวาคมได้ไม่ค่อยดีนัก หลายๆเกมเป็นการทำแต้มหล่นไปกับทีมที่มีอันดับด้อยกว่า โดยเฉพาะในปีที่ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูลทำแต้มหล่นในช่วงเดือนธันวาคมค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ไปไม่ถึงฝั่งฝันในบั้นปลาย ลองคิดดูเล่นๆครับ หากฤดูกาล 2008/09 เราสามารถเอาชนะเวสต์แฮมและฮัลล์ได้ (เสมอทั้ง 2 เกม) เมื่อจบฤดูกาลเราจะเป็นแชมป์โดยที่มี 90 คะแนนเท่ากับแมนฯยูไนเต็ด แต่ผลต่างประตูได้เสียเราดีกว่า
หรืออย่างปี 2013/14 ที่เราพลาดท่าแพ้ฮัลล์ 3-1 ถ้าเราสามารถเอาชนะเกมนี้ได้ ก็คงได้ฉลองแชมป์ในบั้นปลาย โดยไม่ต้องไปสนใจว่าเจอร์ราร์ดจะลื่นหรือไม่ ทั้งหมดที่กล่าวมามันเป็นผลพวงมาจากการทำคะแนนหล่นแบบไม่ควรในเดือนธันวาคมแทบทั้งสิ้น
ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้เรียนรู้จากฤดูกาลแรกของตัวเองแล้ว หลังลิเวอร์พูลเก็บได้แค่ 7 จาก 15 คะแนน หรือไม่ถึง 50% จากคะแนนทั้งหมดของเดือน
ตาราง : สรุปผลการแข่งขันในเดือนธันวาคม 5 ฤดูกาลหลังสุด + ฤดูกาลที่ได้รองแชมป์ ของทีมลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์และลูกทีม ถ้าอยากจะฝันถึงการเป็นแชมป์ ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ เพราะถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้สุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์อาจจะต้องซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีแฟนลิเวอร์พูลคนไหนอยากจดจำ การจะไล่ตามเชลซีชั่วโมงนี้ ต้องเน้นคว้า 3 แต้มในทุกๆเกมเท่านั้น เพื่อรักษาระยะห่างให้คงที่เอาไว้ และเมื่อถึงวันที่เชลซีพลาด โอกาสจะได้กลับมาเป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้ง ... บางทีอาจจะไม่ต้องรอถึงวันที่ 31 มกราคม ก็ได้ ถ้าลิเวอร์พูลจะทำในสิ่งที่เชลซีกำลังทำในช่วงเวลานี้ ... ชนะ ติดๆกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเชลซีก็ต้องมีพลาดครับผมมั่นใจ
แต่ว่าลิเวอร์พูล จะทำได้มั้ย อันนี้ผมไม่รู้นะ ฮ่าๆๆ คงต้องช่วยกันเชียร์ดังๆแล้วหล่ะครับ เอาง่ายๆก้าวแรก เริ่มจากการออกไปทุบบอร์นมัธให้ได้ก่อนเลย ... You’ll never cheer alone. ครับ ทุกคน
โปรแกรมลงเตะเดือนธันวาคมของลิเวอร์พูล
4 ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก บอร์นมัธ v ลิเวอร์พูล
11 ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล v เวสต์แฮม
14 ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก มิดเดิลสโบรช์ v ลิเวอร์พูล
19 ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก เอฟเวอร์ตัน v ลิเวอร์พูล
27 ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก ลิเวรอ์พูล v สโต๊ค ซิตี้
31ธ.ค. - พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล v แมนฯ ซิตี้
เบนจามิน วู้ดเบิร์น ... ไอ้หนูคนนี้จะเป็นซุป'ตาร์
ชั่วโมงนี้ที่เมืองลิเวอร์พูล ไปที่ไหนก็จะได้ยินแฟนบอลเดอะ ค็อป พูดกันแต่ชื่อนี้ ... เบนจามิน หรือ เบน วู้ดเบิร์น ไอ้หนูวัย 17 ปี ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ลิเวอร์พูลได้ โดยเบนลั่นสกอร์แรกของตัวเองให้กับทีมในนัดชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 2-0 ด้วยวัยเพียง 17 ปี 45 วัน ทำลายสถิติเดิมที่ไมเคิ่ล โอเว่น ทำไว้เมื่อปี 1997 (17 ปี 143 วัน) ลงอย่างราบคาบ ... ไอ้หนูคนนี้เป็นใคร ?? วันนี้ผมมีคำตอบให้ครับ
เบนจามิน หรือ เบน วู้ดเบิร์น เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1999 ที่เชสเชียร์ หมู่บ้านทางตอนใต้ห่างจากเมืองเชสเตอร์ 9 ไมล์ วู้ดเบิร์นเข้าร่วมอคาร์เดมี่กับลิเวอร์พูลเมื่ออายุ 9 ขวบ หลังจากไปเตะตาแมวมองของสโมสรเข้าระหว่างเล่นบอลให้กับทีมโรงเรียน วู้ดเบิร์นเป็นสตาร์ให้กับลิเวอร์พูลชุดเยาวชนในทุกรุ่น ยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนก้าวขึ้นมาเล่นทีมเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 18 ปี เมื่อฤดูกาลก่อนในวัย 15 ปีเศษ ซึ่งวู้ดเบิร์นก็ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องแม้จะอายุน้อยกว่าใครเพื่อนก็ตาม วู้ดเบิร์นทำผลงานให้กับทีมชุดอายุไม่เกิน 18 ปี ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำ 11 ประตู 11 แอสซิส จากการลงสนามทั้งหมด 27 เกม กลายเป็นสตาร์ประจำทีมทั้งๆที่ขึ้นมาเล่นกับทีมเป็นปีแรก และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้เจอร์เก้น คล็อปป์ตบรางวัลให้โอกาสวู้ดเบิร์นได้มาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ในช่วงพรีซีซั่น และวู้ดเบิร์นก็ได้เปิดตัวให้แฟนๆได้รู้จักอย่างเป็นทางการ ยิง 2 ประตู และทำ 1 แอสซิส ให้เดอะ ค็อป ได้กรี๊ดกร้าดกัน
การก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นอะไรที่แฟนบอลเดอะ ค็อป อยากเห็นมาก เพราะที่ลิเวอร์พูลห่างหายจากการมีซุป'ตาร์เด็กปั้นที่ขึ้นมาแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่มานาน ผมได้คุยกับแฟนบอลหลายคน พวกเขาบอกว่าความรู้สึกที่มีต่อวู้ดเบิร์นมันเหมือนกับตอนที่ได้เห็นร็อบบี้ ฟาวเลอร์ลงสนามในครั้งแรก เด็กคนนี้มีของ มีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกับฟาวเลอร์อยู่พอสมควร เป็นนักล่าประตู อยู่ถูกที่ถูกเวลา มีลูกยิงที่แม่นยำ วู้ดเบิร์นยังมีอนาคตข้างหน้าให้พิสูจน์อยู่อีกมากแต่อย่างน้อยบททดสอบแรกของเจ้าตัวก็สร้างความประทับใจได้ทั้งกับเจอร์เก้น คล็อปป์และแฟนบอลเดอะ ค็อป ทั้งโลก คล็อปป์เองก็ดูจะพอใจกับพัฒนาการของวู้ดเบิร์นเป็นอย่างมาก ภายใต้การดูแลของเจอร์เก้น คล็อปป์ เราน่าจะได้เห็นอะไรจากดาวรุ่งคนนี้อีกเยอะ ขอเพียงแค่วู้ดเบิร์นทำตามที่คล็อปป์แนะนำไม่ออกนอกลู่นอกทาง
เมืองเชสเตอร์เคยสร้างดาวยิงชั้นเซียนอย่างเอียน รัช และไมเคิ่ล โอเว่น ให้กับลิเวอร์พูลมาแล้ว ถ้าจะมีเกิดขึ้นอีกสักคน บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดมาก็เป็นได้ ... จับตาและเอาใจช่วยเบน วู้ดเบิร์น บางทีขวัญใจเดอะ ค็อป คนต่อจากสตีเว่น เจอร์ราร์ด อาจจะเป็นไอ้หมอนี่ก็ได้นะ ... พระเจ้าเท่านั้นที่จะตอบคำถามนี้ได้
ต้น วโรดม
AFP Photo / PAUL ELLIS
AFP Photo / GLYN KIRK
AFP Photo / ADRIAN DENNIS
AFP Photo / Justin TALLIS
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline
ติดตามอ่านข่าว ความเคลื่อนไหววงการลูกหนังอัพเดทก่อนใคร คลิก!
เช็กผังรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลเพิ่มเติม คลิก!