คุยก่อนขึ้นสังเวียน : ฉัตร์ชัยเดชา กับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในโอลิมปิก


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายของนักชกรายนี้ในมหกรรมการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งเจ้าตัวมุ่งมั่นเป็นอย่างมากในการที่จะคว้าเหรียญรางวัล ที่ประเทศญี่ปุ่น กลับมาให้แฟนกีฬาชาวไทยให้ได้

ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี  หรือที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “เจ้าสด” ตัวแทนนักกีฬาไทย ประเภทมวยสากลรุ่นเฟเธอร์เวต (57 กก.) ชาย ซึ่งในโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นครั้งสุดท้ายของกำปั้นจากอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว โดยวางเป้าหมายคือการคว้าเหรียญรางวัล เพื่อเป็นการทิ้งทวนการรับใช้ชาติ และปิดฉากอย่างสวยงาม ก่อนจะทัวร์นาเมนต์โอลิมปิกเกมส์จะเริ่มขึ้นทีมข่าว พีพีทีวีออนไลน์ ได้มีโอกาสคุยกับนักชกวัย 36 ปี ว่าถึงเวลานี้มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน และเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

“ทัพกำปั้นไทย” ตั้งเป้าคว้าอย่างน้อย 1 เหรียญ โอลิมปิก

“ฉัตร์ชัยเดชา” คว้าทองอำลาซีเกมส์ครั้งสุดท้าย

"ฉัตร์ชัย" สู้ต่อ มั่นใจพร้อมลุยโตเกียว  2020  

- ครั้งนี้ถือเป็นโอลิมปิก ครั้งสั่งลา มีบทเรียนจาก 2 ครั้งก่อนอย่างไร จะปรับแก้ไขอะไรบ้าง

ฉัตร์ชัยเดชา : โอลิมปิกครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บทเรียนจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็คือ ครั้งแรกเมื่อปี 2012 ที่ลอนดอน ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตไม่ได้คาดหวังอะไร แค่ได้ไปร่วมแข่งขันก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ปี 2016 ซึ่งเป็นครั้งที่สอง ที่บราซิล เป็นปีที่ผมคิดว่า ผมพีคที่สุดแล้ว ด้วยประสบการณ์ ด้วยผลงาน ทำให้ผมมั่นใจและคาดหวังไว้มากว่าจะได้เหรียญรางวัล แต่พอผิดหวัง ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ตกรอบ 16 คน ก็เสียใจ ท้อ อยากเลิกชก เพราะด้วยผลการแข่งขันไม่เป็นธรรมค้านสายตา ทำให้เรายิ่งท้อ มันก็ทำให้เรามีบทเรียนแล้วว่า อย่าคาดหวังอะไรไว้มาก เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมา เราจะไม่เสียใจมาก ส่วนการปรับปรุงแก้ไข ก็ไม่มีไรมาก แค่เพิ่มการป้องกันตัวให้ดีกว่าเดิม มีสมาธิมากขึ้น แค่นั้นครับ

-นับตั้งแต่ได้โควต้า ถือว่ามีระยะเวลาเตรียมตัว มากพอสมควร มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ฉัตร์ชัยเดชา : หลังจากคว้าโควต้ามา มีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เพราะโอลิมปิกเลื่อนเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น ได้ศึกษาคู่แข่งว่ามีใครบ้างที่ผ่านรอบคัดเลือก ได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของเรา ให้มีความพร้อมมากที่สุด

-เล่าการฝึกซ้อมที่ผ่านมาว่า และสภาพร่างกายตอนนี้เป็นอย่างไร

ฉัตร์ชัยเดชา : ช่วงการฝึกซ้อมเตรียมตัวเพื่อโอลิมปิกครั้งนี้ ได้มีการซ้อมต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ละสัปดาห์จะฝึกซ้อมวันจันทร์-วันเสาร์ หยุดวันอาทิตย์ เพื่อให้นักกีฬาได้พักทำธุระส่วนตัว ซึ่งในแต่ละวันจะตื่น 6.00 น. เตรียมตัว,เตรียมอุปกรณ์เพื่อซ้อมในช่วงเช้า จากนั้น 6.30 น.โค้ชจะชี้แจงโปรแกรมการฝึกซ้อมว่า เช้านี้ทำอะไรบ้าง เพราะแต่ละวันโปรแกรมจะไม่เหมือนกัน อยู่ที่โค้ชจะวางโปรแกรม จากนั้นฝึกซ้อม ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ครึ่ง ถึง 2 ชม. ซ้อมเสร็จอาบน้ำกินข้าวพักผ่อน  ช่วงบ่ายประมาณ 14.30 น. เตรียมตัวเพื่อฝึกซ้อมในเวลา 15.00 น. โค้ชจะชี้แจงการฝึกซ้อม และใช้เวลาซ้อมประมาณ 2 ชม. ด้านสภาพร่างกายเวลานี้ฟิตครับ โคตรฟิต ประมาณ 120 %

มุ่งมั่นซ้อมเต็มที่

-คู่ชกที่น่ากลัวครั้งนี้คือใคร

ฉัตร์ชัยเดชา : คู่ชกที่น่ากลัว จริงๆ น่ากลัวทุกชาตินะครับ เพราะผ่านมาแข่งขันโอลิมปิกได้ ถือว่าฝีมือไม่ธรรมดา แต่ถ้าให้เลือก น่าจะเป็น มิราซิสเบค เมียซาคาลิลอฟ จากอุซเบกิสถาน คนนี้เป็นแชมป์มาทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็น แชมป์โลก แชมป์เอเชีย แชมป์เอเชียนเกมส์ กวาดมาหมด ผมเคยชกกับเขามาแล้วถึงสองครั้ง ทุกครั้งสูสีกันมาก แล้วก็เป็นผมที่แพ้เขาทั้งสองครั้ง ก็ถือว่าน่ากลัวที่สุดในรุ่นนี้ครับ

-สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในการไปแข่งครั้งนี้

ฉัตร์ชัยเดชา : สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในครั้งนี้ เตรียมไปเยอะเลยครับ (หัวเราะ) ส่วนมากจะเป็นพระเครื่อง, หลวงปู่ทวด สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระไพรีพินาศ ประมาณนี้ แล้วก่อนไปก็ไปไหว้พระตามวัดต่างๆ เพื่อความสบายในครับ

-ฝากอะไรถึงแฟนกีฬาชาวไทยที่รอเชียร์บ้าง

ฉัตร์ชัยเดชา : อยากจะฝากถึงแฟนกีฬาชาวไทยครับ…โอลิมปิกครั้งนี้เป็นโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของผมแล้ว ช่วยส่งแรงใจแรงเชียร์ให้ผมด้วย ผมจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ อย่างเต็มที่ เพื่อคว้าเหรียญรางวัลกลับประเทศไทยให้ได้ครับ แล้วก็อย่าลืมส่งกำลังใจให้กับนักกีฬาไทยทุกคน ทุกชนิดกีฬา เพื่อให้ทุกคนคว้าชัยในโอลิมปิกครั้งนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

สำหรับ ฉัตร์ชัยเดชา จะเดินทางไปยังกรุงโตเกียว ในวันศุกร์ที่ (16 ก.ค.) ก่อนจะมีการจับสลากประกบคู่ในวันที่ 22 ก.ค.โดย “กำปั้นลูกสอง” จะขึ้นสังเวียนไฟต์แรก ในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยในโอลิมปิกเกมส์ 2020 กีฬามวยสากลมีชิงชัยทั้งสิ้น 13 เหรียญทอง  แบ่งเป็น ชาย 8 รุ่น และหญิง 5 รุ่น  ซึ่งนอกจากนี้ยังมีนักกีฬาไทยอีก 3 คนที่ได้ตั๋วครั้งนี้ คือ จุฑามาศ จิตรพงศ์ ในรุ่นฟลายเวตหญิง (51 กก.), สุดาพร สีสอนดี รุ่นไลต์เวตหญิง (60 กก.) และ ใบสน มณีก้อน ในรุ่นเวลเตอร์เวตหญิง (69 กก.)

TOP ข่าวกีฬา
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

ขณะนี้ มีรายการกำลังถ่ายทอดสด คุณสนใจหรือไม่?

SPORT CORNER

SPORT CORNER

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ