เมื่อปี 2019 เราได้โควตาไปโอลิมปิกของทัพนักกีฬาไทยคนแรก จาก เศวต เศรษฐาภรณ์ นักกีฬายิงเป้าบิน ซึ่งใครจะเชื่อว่า เขาจะทำตามฝันของตัวเองสำเร็จ ในวัยเฉียดเลขหก ด้วยการไปร่วมแข่งขันยิงเป้าบินในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เศวต แตกต่างจากนักกีฬาคนอื่นๆที่เริ่มเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับมาเริ่มเล่นกีฬายิงเป้าบินนี้ในวัย 41 ปีแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ในอายุวัยนี้ จะเป็นวัยที่หลายคนเลิกเล่นไปแล้วด้วยซ้ำ
แมนฯยูเตรียมขาย "ป็อกบา" ให้ "เปแอสเช"
ผู้สนับสนุนหลักโอลิมปิก 2020 หลายราย ตัดสินใจไม่ร่วมในพิธีเปิด
จากนักธุรกิจ และนักบินในยามว่าง เศวตใช้เวลาผันตัวเข้าสู่วงการยิงเป้าบิน เขาใช้ระยะเวลาแค่ 1 ปี ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติไทย ด้วยความที่เป็นคนมุ่งมั่น ฝึกซ้อม ทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งของทัพยิงเป้าบิน ในประเภทบุคคลชาย ในระยะเวลาแค่ 2 ปีจากนั้น และในการแข่งขันหลายรายการในต่างประเทศ เขายอมออกค่าใช้จ่ายไปแข่งขันเอง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด แต่ด้วยอายุที่มากกว่าคนอื่น ทำให้เขามักจะถูกมองข้ามที่จะคว้าเหรียญรางวัล แต่ในโอลิมปิกเกมครั้งนี้ เขามีเวลาฝึกซ้อมมากกว่าใคร นับตั้งแต่ที่รู้ว่าได้โควต้าเป็นคนแรก
ส่วนอีกคนที่เป็นความหวังอย่าง ณี สุธิยา จิวเฉลิมมิตร นักกีฬายิงเป้าบินทีมชาติไทย ประเภทสกีตหญิง เจ้าของเหรียญรางวัลต่างๆมากมาย ทั้ง แชมป์ซีเกมส์ 3 สมัย, เจ้าของเหรียญทองแดงศึกเอเชียนเกมส์ ปี 2010 และปี 2014 รวมถึงการคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ในปี 2018 พร้อมด้วยผลงานระดับโลก ที่เคยคว้าแชมป์โลก มาครองได้ถึง 2 สนาม ในปี2016 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬายิงเป้าบินทีมชาติไทยคนแรกที่ขึ้นไปรั้งมือ 1 ของโลก บวกกับประสบการณที่มากขึ้นเวทีโอลิมปิก ที่เธอเคยผ่านการแข่งขันมามาแล้วถึง 3 ครั้ง ทำให้สุธิยา จึงเป็นหนึ่งในนักกีฬาความหวังของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย
จากประสบการณ์ของทั้งสองคน ทำให้เชื่อลึกๆว่า เรายังพอมีหวังได้จากกีฬาประเภทนี้ ซึ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในวันแข่งขันจริง และไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเขายืนหยัดต่อสู้ เพื่อนำพาความสำเร็จมาสู่แฟนกีฬาชาวไทยให้ได้