ปรีวิว พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
อาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2564
(1) ลิเวอร์พูล-แมนฯ ซิตี้ (2)
สนาม : แอนฟิลด์ เวลาคิกออฟ : 22.30 น.
ผู้ตัดสิน : พอล เทียร์นี่ย์
ผลงานการพบกันในฤดูกาลที่ผ่านมา
7 ก.พ.2564 ลิเวอร์พูล 1-4 แมนฯ ซิตี้ พรีเมียร์ลีก
8 พ.ย. 2563 แมนฯ ซิตี้ 1-1 ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก
ลิเวอร์พูล
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
28 ก.ย.2564 ชนะ ปอร์โต้ 5-1 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
25 ก.ย.2564 เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
21 ส.ค.2564 ชนะ นอริช 3-0 (เยือน) คาราบาว คัพ
วิเคราะห์บอล !! พรีเมียร์ลีก บิ๊กแมตช์ ลิเวอร์พูล พบ แมนฯ ซิตี้ 7 ก.พ.64
ครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก 2 ทีมทำเกิน 90 แต้ม
19 ส.ค.2564 ชนะ คริสตัล พาเลซ 3-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
15 ส.ค.2564 ชนะ เอซี มิลาน 3-2 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สภาพทีมลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมบุกไปถล่ม ปอร์โต้ 5-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงไม่มี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ฟูลแบ็กขวา ที่เจ็บกล้ามเนื้อระหว่างซ้อม และไม่มีชื่อในเกมยุโรป ยังไม่พร้อมกลับมาในเกมนี้ ทำให้ เจมส์ มิลเลอร์ แข้งจอมเก๋าสารพัดตำแหน่งจะมายืนแทนอีกครั้ง หรืออาจจะเป็น โจ โกเมซ รวมถึง เนโก้ วิลเลี่ยมส์ ที่มีลุ้นทำหน้าที่ตรงนี้เช่นกัน แดนกลางจะไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า ต่อไปหลังเจ็บน่องเล่นงานโดยจะเป็นหน้าที่ของ เคอร์ติส โจนส์ ดาวรุ่งต่อไป ส่วน ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ อยู่ระหว่างพักฟื้นหลังผ้าตัดข้อเท้าที่บิด ต้องพักอย่างน้อยครึ่งปี โรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน่ แนวรุกทีมชาติบราซิล นั่งสำรองเหมือนเดิม โดยจะเป็นหน้าที่ของ 3 ประสานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ดีโอโก้ โชต้า และ ซาดิโอ มาเน่
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์; เจมส์ มิลเนอร์, โฌเอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ; ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เคอร์ติส โจนส์; โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ดีโอโก้ โชต้า, ซาดิโอ มาเน่
แมนฯ ซิตี้
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
28 ก.ย.2564 แพ้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 0-2 (เยือน) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
25 ก.ย.2564 ชนะ เชลซี 1-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
21 ส.ค.2564 ชนะ วีคอมบ์ 6-1 (เหย้า) คาราบาว คัพ
19 ส.ค.2564 เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
15 ส.ค.2564 ชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก 6-3 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สภาพทีม
เป๊ป กวาดิโอล่า ที่ยังคงมาในระบบ ฟลอส์ไนน์ เกมนี้จะมีการโรเตชั่น จากเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก บุกไปแพ้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 0-2 เมื่อกลางสัปดาห์ ในบางจุด แต่ที่แน่ๆ แผงหลังยังคงไม่มี จอห์น สโตนส์ ที่ยังเจ็บต่อ แนวรุก ฟิล โฟเด้น และ กาเบรียล เชซุส น่าจะกลับมายึดตัวจริงคืนจาก ริยาด มาห์เรซ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แดนกลาง เควิน เดอ บรอยน์ กับ โรดรี้ จะร่วมกันทำเกมต่อไป ในรายของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ อิลคาย กุนโดกัน ยังคงอยู่ระหว่างเรียความฟิตและไม่มีชื่อในเกมนี้ ส่วน แฟร์ราน ตอร์เรส ที่ได้โอกาสช่วงเริ่มฤดูกาล แอบหวังกลับมาอยู่ในไลน์อัพสตาร์ตแดนหน้า
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส; ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส, อายเมริค ลาปอร์กต์, ชูเอา กานเซโล่; โรดรี้,เควิน เดอ บรอยน์,แบร์นาโด ซิลวา;กาเบรียล เชซุส,แจ็ค กรีลิช,ฟิล โฟเด้น
เกร็ดน่าสนใจก่อนเกม
-พบกันในพรีเมียร์ลีก มาแล้วทั้งหมด 48 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 20 แมนฯ ซิตี้ ชนะ 11 เสมอกัน 17 นัด
-ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้เลยในลีกสูงสุดฤดูกาลนี้ โดยเสียไปเพียง 4 ประตูจาก 6 นัดแรกของซีซั่น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1977
-แมนฯ ซิตี้ บุกมาชนะ 4-1 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งจากผลดังกล่าว เป็นการยุติการไม่ชนะที่นี่ 17 เกมในลีกลง
(เสมอ 5 แพ้ 12) โดยทาง ซิตี้ ไม่ชนะเกมลีกติดต่อกันที่แอนฟิลด์ตั้งแต่มกราคม ปี 195
-ลิเวอร์พูล ชนะเพียงครั้งเดียวจาก 7 นัดล่าสุดที่พบกับ แมนฯ ซิตี้ในพรีเมียร์ลีก (เสมอ 2 แพ้4) โดยชัยชนะนัดนั้นเป็นการชนะ 3-1 ที่ แอนฟิลด์ เมื่อฤดูกาล 2019-2020 ซึ่งฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์
-โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ทำ 4 ประตู 2 แอสซิสต์ ใน 5 เกมหลังที่พบกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ แอนฟิลด์ ในทุกรายการ
-ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จากแมนฯซิตี้ ยิงได้ 2 จาก 3 เกมลีกหลังสุดที่พบกับอดีตทีมเก่าลิเวอร์พูล แต่ก่อนหน้านั้น 8 เกมที่เจอกับ “หงส์แดง”แข้งทีมชาติอังกฤษรายนี้ไม่สามารถยิงได้