โดยเจอร์ราร์ด วัย 45 ปี ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษไปถึง 114 นัด ผ่านศึกใหญ่ถึง 6 ทัวร์นาเมนต์ แต่ไม่เคยพาทีมไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศเลย ทั้ง ๆ ที่ นี่คือยุคที่ถูกเรียกว่า “Golden Generation” ของอังกฤษ เพราะมีซูเปอร์สตาร์ระดับ แฟรงค์ แลมพาร์ด, พอล สโคลส์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อยู่ในทีมเดียวกัน
เจอร์ราร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ Rio Ferdinand Presents Podcast ว่า ตัวเขาและเพื่อนร่วมทีมในยุคนั้น “ต่างคนต่างอยู่” และ “ไม่เคยมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริง ๆ”
เขาบอกต่อว่า “เราทุกคนเป็นพวกเห็นแก่ตัว และเป็นพวกขี้แพ้ในเวลาเดียวกัน ทุกวันนี้ผมเห็น คาร์ราเกอร์ นั่งคุยกับ สโคลส์ ในรายการทีวี เหมือนเป็นเพื่อนกันมา 20 ปี ทั้งที่ตอนเรายังเล่นทีมชาติด้วยกัน แทบไม่ได้พูดกันด้วยซ้ำ”
“ผมกับคุณ (เฟอร์ดินานด์) ตอนนี้ยังคุยกันรู้เรื่องกว่าตอนเล่นทีมชาติด้วยกันตั้ง 15 ปีอีก… ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่สามารถสนิทกันได้เลย? มันเพราะอีโก้เหรอ? หรือเพราะความเป็นคู่แข่งกันในสโมสร?”
เจอร์ราร์ดบอกอีกว่า นี่คือปัญหาหลักของฟุตบอลทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น วัฒนธรรมในทีมเต็มไปด้วย กำแพง จากความเป็นศัตรูระหว่างสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล, แมนยู และเชลซี ซึ่งขัดขวางไม่ให้พวกเขากลายเป็น “ทีมเดียวกันจริง ๆ”
“เราไม่เคยเป็นทีมที่ดีพอเลย ไม่เคยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแบบที่ทีมชาติอังกฤษยุคนี้มี” เขากล่าวเสริม
แต่แม้จะภูมิใจทุกครั้งที่ได้ใส่เสื้อทีมชาติ แต่เจอร์ราร์ดยอมรับว่า เขา “ไม่สนุกเลย” กับชีวิตในแคมป์ทีมชาติ “ผมเกลียดมันจริง ๆ ผมไม่ชอบพักโรงแรมเลย มันน่าเบื่อสุด ๆ ตอนนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีดีวีดี ไม่มีอะไรทำเลย เปิดทีวีได้แค่ช่อง 1 ถึง 5 ผมเคยรู้สึกดาวน์มาก ๆ ต้องอยู่ในห้องคนเดียวหลายชั่วโมง”
เจอร์ราร์ดเล่าว่า เขารักการลงสนาม รักการฝึกซ้อม แต่พอออกจากสนามกลับรู้สึก “โดดเดี่ยว” และ “ไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม” เลย “กับลิเวอร์พูล ผมรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน รู้ว่าทุกคนดูแลผมดี รู้สึกว่าตัวเองมีค่า แต่กับที่อังกฤษ ผมรอแค่เวลาลงเล่น พอแข่งเสร็จก็อยากกลับบ้าน”
อย่างไรก็ดีคำพูดของสตีเว่น เจอร์ราร์ด อาจฟังดูเจ็บ แต่มันก็สะท้อนความจริงของฟุตบอลอังกฤษในยุคหนึ่งอย่างชัดเจน ยุคที่มากไปด้วยนักเตะ “พรสวรรค์” ไม่ได้แปลว่าจะเป็น “ทีมที่ดี” เพราะไม่ว่าคุณจะมีซูเปอร์สตาร์มากแค่ไหน ถ้าข้างในยังเต็มไปด้วย “อีโก้” และ “ความแตกแยก” ทีมก็ไม่มีวันชนะได้อยู่ดี…