หากใครได้ติตดามฟุตบอล 7 สี คงจะคุ้นกับเหตุการณ์ล้มยักษ์ ที่ทีมภูธรมักจะทำแสบให้บรรดาทีมใหญ่จากโรงเรียนชื่อดังเกิดขึ้นบ่อย ๆ กับเมื่อวานก็เช่นกัน ที่ทางโรงเรียนหมอนทองวิทยา จากอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถเอาชนะหนึ่งในสี่มหาอำนาจลูกหนังขาสั้นอย่าง ลูกแม่รำเพย เทพศิรินทร์ไปได้ 7-6 ส่งผลให้หมอนทองฯ ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ทำไมทีมจากภูธรถึงมักถูกมองว่าเป็นทีมรองบ่อน มากกว่าทีมที่อยู่กรุงเทพ ?
ถ้าเป็นสมัยก่อนแชมป์ของรายการนี้จะเป็นโรงเรียนที่มาจากทางกรุงเทพมหานครเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น อัสสัมฯธน, เทพศิรินทร์,สุรศักดิ์มนตรี,ราชวินิตบางแก้ว หรือจะราชวินิตบางเขน จะมีแชมป์ไปสู่ต่างจังหวัดไกลที่สุดก็แค่จังหวัดชลบุรี กับโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และกับทีมที่สร้างปรากฎการณ์ได้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมากับมัธยมบราซิล โรงเรียนกันทรารมณ์
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะการเข้ามาแข่งขันในกรุงเทพแต่ละที มันมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าน้ำมัน ทำให้บางโรงเรียนอาจจะถอดใจไป เพราะไม่ได้มีทรัพยากรเหมือนทีมที่แข็งแกร่งทีมอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ทีมภูธรเหล่านั้นก็มักสร้างเสียงฮือฮาจากบอล 7 สีอยู่บ่อย ๆ จนสร้างความภาคภูมิใจให้คนในจังหวัดและเป็นกระแสฮือฮาในหลาย ๆ ปี
นี่คือสิ่งที่ต้องพูดถึงอย่างจริงจัง วงการฟุตบอลเยาวชนไทยกำลังเปลี่ยนไปแล้ว หรือเปล่า?
อาจจะหมดยุคที่ทีมจากกรุงเทพฯ จะกวาดชัยชนะไปได้โดยง่าย เพราะพลังของทีมจากต่างจังหวัดได้ยกระดับขึ้นมาท้าทายอำนาจลูกหนังขาสั้นแบบเดิม ๆ อย่างไม่เกรงกลัว ชัยชนะเหนือยักษ์ใหญ่ลูกแม่รำเพย เทพศิรินทร์ ด้วยสกอร์ 7-6 จนสามารถทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ โดยก่อนหน้านี้หมอนทองฯ ก็เพิ่งเอาชนะ อัสสัมชัญธนบุรีมาในรอบ 16 ทีม ไม่ใช่แค่โชคช่วย แต่มันคือ หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ตอกย้ำว่าทีมภูธรก็มีคุณภาพ มีแท็กติก และมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ จนสามารถทุบสี่มหาอำนาจของบอลขาสั้นลงได้
หรือในอีกสองทีมที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน เช่น หัวหินวิทยาคม และ โรงเรียนอบจ.ชัยนาท ก็สร้างปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้หมอนทองเลยทีเดียว
แน่นอน…ใครที่ติดตามวงการฟุตบอลขาสั้น น่าจะพอรู้จักชื่อโรงเรียนหมอนทองวิทยาอยู่แล้ว ที่จะมาพร้อมกับโค้ชคู่ใจอย่าง ‘อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ’ แล้วโรงเรียนนี้มีดีอะไร ทำไมถึงสร้างปรากฎการณ์ได้บ่อย ๆ จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวบางน้ำเปรี้ยวจนไวรัลขนาดนี้
เริ่มจากแบบนี้กันก่อน เสน่ห์ของ 'บอล 7 สี' คือมันไม่มีล้ำหน้า ทำให้เกมถูกตัดสินด้วย ความกล้าทำประตู และ แท็กติกที่เฉียบขาด จากข้างสนาม
ทุกวันนี้ เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีเบสิคที่ดี มีความสามารถเฉพาะตัวที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างถูกต้อง แต่ตัวแปรเดียวที่จะพลิกชะตาให้พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่ง คือ วิสัยทัศน์ของโค้ช
โค้ช คือคนเดียวที่จะรู้ว่าต้อง ดึง 'ของ' ที่ดีที่สุด ในตัวเด็กออกมาอย่างไร... และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม โค้ชจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ในการสร้างทีมฟุตบอลโรงเรียนให้ก้าวไปสู่ตำนานได้นั่นเอง
แม้คนนอก อาจมองว่า โรงเรียนหมอนทองวิทยา ในอำเภอบางน้ำเปรี้ยวเป็นแค่โรงเรียนประจำท้องถิ่น แต่สำหรับคนที่นี่... มันมากกว่านั้น
ทุกครั้งที่ลูกหลานลงสนามแข่งขันฟุตบอล บรรยากาศของบางน้ำเปรี้ยวจะเปลี่ยนไปทันที รั้วโรงเรียนไม่ใช่แค่เขตกั้น แต่กลายเป็น พื้นที่ ที่ผู้คนมารวมตัวกัน ทุกคนพร้อมใจกันเชียร์ เซลติก บางน้ำเปรี้ยวแห่งนี้ ให้คว้าชัยได้ในทุก ๆ แมตช์ที่พวกเขาลงแข่งขัน
ทุกคนมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งแชร์โพสต์ลงในกลุ่มแปดริ้ว หรือช่วยกันสนับสนุนเงินเพื่อหารถดี ๆ ให้เด็ก ๆ นั่งไปแข่งที่กรุงเทพฯ มันเหมือนกับผู้คนที่บางน้ำเปรี้ยว คิดตลอดว่า “ลูกหลานเรากำลังสู้ และเราอยู่ตรงนี้เสมอ”
หมอนทองวิทยาอาจไม่ได้มีงบประมาณที่มหาศาลเหมือนทีมในเมืองใหญ่ แต่พวกเขาได้สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือ พลังใจที่หลั่งไหลจากบ้านเกิด รวมถึงได้โค้ชที่เข้าใจวงการบอลขาสั้นแบบอาจารย์สกล
เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มจากขอบสนามคือพลังงานชั้นดี ทุกเสียงปรบมือไม่ใช่แค่การให้กำลังใจ แต่เป็นการบอกกับนักกีฬาว่า "สู้เพื่อรอยยิ้มของคนกลุ่มนี้" เมื่อทีมทำประตูได้ มันคือความสุขร่วมกันของคนหลายร้อยคนที่กอดกันอย่างลืมตัว และเมื่อทีมแพ้ ก็ไม่มีเสียงตำหนิ มีแต่การโอบกอดและให้กำลังใจกัน
ชัยชนะของเด็ก ๆ จึงเปรียบเสมือนความภูมิใจที่พวกเขาหิ้วกลับมามอบให้คนทั้งชุมชน เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ลูกหลานบางน้ำเปรี้ยวไม่แพ้ใคร และไปสู่กันต่อในรอบ 4 ทีมสุดท้ายของบอล 7 สี
ให้สมกับคลิปไวรัลในติ๊กตอก ที่มีคนจำนวนมากตัดต่อคลิปโรงเรียนหมอนทองวิทยา พร้อมกับใส่เพลงที่มีเนื้อร้องว่า “แผ่นฟ้ากว้าง เขาสูงใหญ่ยังเคยข้าม ฝันงดงามถามหน่อยเคยข้ามไหม ไปยังฝั่งที่ตั้งฝันอันแสนไกล แต่สุดท้ายก็ได้ฝันนั้นมาครอง”
อย่างไรก็ดี อาจารย์สกล เคยบอกไว้ว่า “ประเทศไทยควรจัดตั้งศูนย์สร้างทีมชาติ 4 มุมเมือง (ภาคเหนือ, ใต้, กลาง, และอีสาน) เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กจากต่างจังหวัดมากขึ้น ระบบที่เป็นอยู่สร้างความผิดหวังให้แฟนบอล และเกิดคำถามถึงความยุติธรรมเมื่อเห็นนักเตะจากโรงเรียนเดียวติดทีมชาติเป็นจำนวนมาก”
ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้ก็ได้ย้อนกลับไปถึงความไม่เท่าเทียมกันในโลกลูกหนัง ที่บางทีเด็กต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้มีงบประมาณขนาดนั้นในการเข้ามาแข่งที่กรุงเทพฯ มันจะดีกว่าไหม ถ้าฟุตบอลมันกระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ เด็ก ๆ ต่างจังหวัดจะได้รับโอกาสมากขึ้นด้วย
ฟุตบอลควรจะมีประตูให้เด็ก ๆ จากบางน้ำเปรี้ยว หรือทุกจังหวัด ได้มีโอกาสเข้าถึงมัน ความภูมิใจนี้ควรถูกยกระดับจากความภาคภูมิใจในท้องถิ่น สู่ความภาคภูมิใจของชาติอย่างเท่าเทียม บอลเด็กเป็นจุดเริ่มต้นของยอดแข้งฝีมือดีหลาย ๆ คน ไม่แน่ว่าในการแข่งขันฟุตบอล 7 สีที่กำลังแข่งอยู่ในตอนนี้ อาจจะมีเพชรเม็ดงามที่ส่งต่อไปยังทัพช้างศึกทีมชาติไทย ก็เป็นได้