ผ่าเส้นทางธุรกิจบิทคับ (Bitkub) เจ้าแห่งสนามคริปโตฯ ทะยานพันเปอร์เซ็นต์ 4 ปีติดต่อกัน
กาแฟดำ โดยสุทธิชัย หยุ่น พูดคุยกับ ท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอวัยสามสิบที่นั่งบริหารบิทคับจนเติบโตพันเปอร์เซ็นต์ 4 ปีติดต่อกัน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ท็อป ยอมรับว่า ที่ผ่านมา “บิทคับ” เคยเจอช่วงเวลาที่เจ็บปวด หรือมีบาดแผลเช่นกัน
“ระหว่างทางมีคนปาก้อนหินใส่อยู่แล้วเป็นปกติ” แต่เราก็ไม่ได้สนใจคนปาก้อนหินมาก เราก็ทำงานของเราทุกวัน จนสุดท้ายถ้าอะไรที่มีประโชน์กับผู้คนจริงๆ เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง
รู้จัก "ท็อป จิรายุส" ผู้ก่อตั้ง "บิทคับ" แพลตฟอร์มเทรดเหรียญคริปโทฯ ชื่อดังในเมืองไทย
ไทยพาณิชย์ ซื้อกิจการ “บิทคับ” ถือหุ้น 51% มูลค่า 17,850 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จต้นปี'65
ช่วง 2 ปีแรกของการทำสตาร์ทอัพ เป็นช่วงของการกระโดดลงหน้าผาแล้วต้องประกอบเครื่องบินให้ทันก่อนจะถึงพื้น ดังนั้น ท็อป ต้องทำหน้าที่ซีอีโอด้วยการใส่หมวกใบแรกที่เรียกว่า War times (เวลาแห่งสงคราม) เพราะเงินทุนกำลังจะหมดภายใน 2 ปี ดังนั้น เขาก็ต้องทำทุกอยางให้บริษัทมันกำไรให้ได้ภายใน 2 ปี
เลยจำเป็นต้องเป็น War times CEO คือ สั่งซ้ายต้องไปซ้าย สั่งขวาต้องไปขวา ไม่มีเวลามานั่งทะเลาะ มานั่งดีเบต ต้องควบคุมทุกอย่าง พนักงานทำตามที่เราสั่งเท่านั้น ซึ่งระหว่างทางแน่นอนมีคนไม่เห็นด้วยอยู่แล้วแต่ ผลลัพธ์สุดท้ายคือ โลกมันเปลี่ยนไปเราแค่ยึดมั่นในสิ่งที่เราเห็นและทำมันทุกวัน
เราไม่ได้ทำอะไรที่ต้านกระแสโลก แต่ “บิทคับ” อยู่ในทิศทางของโลกที่มันเปลี่ยนไป
“ ความหมายของคำว่าเงินมันเปลี่ยนทุก 50 ปี มันคือเทรนด์โลก มันคือการเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วเราอยู่ใน Direction (ทิศทาง) ที่โลกมันเปลี่ยนไป เราไม่ได้ทำสิ่งที่มันต้านกระแสลมที่แรง แต่เราไปตามกระแสลมที่แรง เราก็เลยบินไปพร้อมกับลม”
ซึ่งการที่มันเติบโตได้ขนาดนี้เพราะท็อปมองว่าเขาเป็นคนส่วนน้อยที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะหากย้อนไปเขามีประสบการณ์การทำงาน 8 ปีในวงการนี้ ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แต่เป็นซีอีโอที่อยู่ใน Direction (ทิศทาง) กระแสลมที่แรงพอดี
ทุกอย่างมันมีทั้งด้านดีและไม่ดี
ด้านดีก็คือเขายกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า การมาของไฟฟ้าไม่ได้เกิดจากการมานั่งพัฒนาเทียนไขอย่างที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่สิ่งที่ บิทคับ เป็นคือสิ่งใหม่มากๆ และการเกิดสิ่งใหม่ คือ มาจากดีเอ็นเอใหม่ ซึ่งผมสร้าง Industry (อุตสาหกรรมการเงินดิจิทัล) ใหม่ และสิ่งที่ทำให้บิทคับ โตเป็นพันเปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นอะไรที่ยากมาก ต้องเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองให้ทัน เปลี่ยนวิธีการบริหาร เปลี่ยนวิธีคิด เพราะรายละเอียดต่างๆ มันจะถูกทำลายลง เราจะทำงานเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น บิทคับ จึงเหมือนการเปลี่ยนบริษัทใหม่ทุกๆ 6 เดือน วิธีการคัดคน จ้างคน ก็ต้องเปลี่ยนไป จุดที่ต้องโฟกัสก็ต้องเปลี่ยนไป โครงสร้างบริษัทก็ต้องเปลี่ยนไป ซึ่งการบริหารงานของ บิทคับ ไม่มีในตำรา
มาชัวร์! อัปเดตวัคซีนโมเดอร์นา มาถึงไทย 27 พ.ย. นี้ อีกล็อตใหญ่
ส่วนใหญ่ในตำราหนังสือจะเขียนแค่ช่วงแรก คือ ช่วงสตาร์ท อัพ แต่ช่วงที่ไม่มีในหนังสือคือช่วง Scale up (ขยายใหญ่ขึ้น) ช่วงนั้นมีวิธีคิดเป็นอย่างไร วิธีการบริหารงานจะเป็นอย่างไร มันไม่มีในตำรา เพราะน้อยมากที่บริษัทจะโตเป็นพันเปอร์เซ็นต์ ติดๆ กัน
ดังนั้นเขาจึงต้อง “ยอมปิดตา”
ต้องยอมให้วัฒนธรรมบางอย่างถูกทำลายลง จากเดิมที่ต้องคัดคนให้การเข้ามาทำงาน คนที่ไม่ใช่ต้องตัดออกให้ไว แต่เมื่อถึงจุดที่มัน Scale up (ขยายใหญ่ขึ้น) กลายเป็นว่าเราทำงานไม่ทัน ต้องยอมให้วัฒนธรรมองค์กรบางอย่างแย่ลงในระยะสั้น เพราะเรารู้ว่าเรากำลังจะเติบโตไปอีกพันเท่า ซึ่งช่วงเวลานั้น น้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะมันคุ้มค่า
ผมเรียนรู้ทุกวัน ล้มเหลวทุกวัน แต่การสร้างอนาคตได้ดีที่สุด หรือ การทำนายอนาคตที่ดีที่สุดคือการสร้างมันขึ้นมาเอง แต่เราอยู่ใน Frontier (พรมแดน) นั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเราจะเป็นคนแรกที่ทำสิ่งนี้ในในประเทศไทย อีกด้านหนึ่งก็เหมือนกับการทดลอง ซึ่ง ทุกๆ การทดลองมันมาพร้อมกันการล้มเหลว เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกๆ การทดลองมันก็ต้องพัฒนาไปมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งผมทดลองทุกวัน
ช่วง Peace-time ของบิทคับ
เมื่อผ่านช่วง Scale up ถึงจุดที่มีกำไร ช่วงที่เติบโตพันเปอร์เซ็นต์ติดๆ กัน ก็ต้องเปลี่ยนบทบาท เข้าสู่การเป็นเฟสที่สาม คือช่วง Peace-time (อยู่ตัว) คือกลับมาทำอย่างไรให้ยั่งยืน (Sustainability) สร้างบรรทัดฐานองค์กรหรือสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน คือถ้าวันหนึ่งผมโดนรถบัสชนบริษัทต้องอยู่รอด
ดังนั้น ในช่วง Peace-time (อยู่ตัว) ท็อปอธิบายว่า เหมือนการคัดคนเข้ารถบัส คือคัดคนให้ช้า และคัดคนที่ไม่ใช่ออกให้เร็ว พอรถบัสเต็มให้คนที่เก่งที่สุดนั่งหน้ารถบัส คือเอาคนที่เก่งที่สุดไปหาโอกาสใหม่ อย่าเอาคนที่เก่งไปแก้ปัญหา เอาคนที่เหลือมาแก้ไขปัญหา แล้วเราแค่บอกก็พอว่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่
ส่วนการเข้าสู่ปีหน้า 2565 บิทคับจะเข้าสู่ช่วง Good to Great คือดีและยิ่งใหญ่
บิทคับ เป็นสตาร์ทอัพที่ทำกำไรมากที่สุดในประเทศไทย มันจะน่าเสียดายมาก ถ้าเราไม่เปลี่ยนบริษัทนี้ให้เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ และน่าอยู่ แต่ไม่ใช่ชิล หรือสบาย แต่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับบริษัทอื่นๆ
โดยมีเป้าหมายคือ บิทคับ ต้องเป็น National champions ของประเทศไทย ประเทศไทยเราต้องมียูนิคอร์น ประเทศไทยเราต้องมีบิทคัพ เป็นที่ที่ทุกคนภาคภูมิใจว่า “คนไทยก็เก่งเช่นกัน”
ด่วน! “ลิซ่า BLACKPINK” ติดโควิด-19 สมาชิกอีก 3 คน รอผลตรวจ