พณ.กล่อมทบทวนราคาไข่ไก่ใหม่ ด้าน ส.สมาคมค้าปลีกไทยขอรัฐตรึงราคาสินค้า
จากประเด็นราคาสินค้าซึ่งเกี่ยวเนี่องจากสถานการณ์ความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทำให้ราคาอาหาร เช่น ไข่ไก่ ปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุด รมว.พาณิชย์จะพูดคุยกับ สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ อีกครั้ง ด้าน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ขอตรึงราคาสินค้า พร้อม เสนอ 3 มาตรการร่วมกับภาครัฐเร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า สำหรับราคาไข่ไก่ ที่ผ่านมาราคาลดลงมาโดยลำดับ ราคาที่ขายให้กับผู้บริโภคเฉลี่ยทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ปีนี้ ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคา 3.29 บาท/ฟอง และบางห้างเหลือ 3.20 บาท/ฟอง และเรากำกับราคาไว้ที่ 3.50 บาท/ฟอง ที่ได้คุยกับสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ไว้
ไข่ไก่สุดอั้น ปรับขึ้น 30สตางค์/ฟอง
ตรวจหวย - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 1 มีนาคม 2565 ลอตเตอรี่ 1/3/65
และทราบว่าต้นทุนของผู้เลี้ยงไก่ไข่ปรับสูงขึ้น จึงได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน เชิญสมาคมหารืออีกครั้ง เพื่อหาทางออกร่วมกันให้เกิดผลดีที่สุดทั้งเกษตรกรและฟาร์ม ผู้รวบรวมไข่ รวมทั้ง ผู้บริโภค ให้เกิดราคาที่สมดุลที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถือว่าราคาไม่ได้สูงเกินสมควรเพราะราคากำกับที่ 3.50 บาท/ฟอง ราคาเฉลี่ยยังอยู่ที่ 3.29 บาท/ฟอง
กระทรวงพาณิชย์ดูแลมาตลอด ราคาสินค้าปรับลดลงหลายหมวด กำกับใกล้ชิดทั้งหมด 18 หมวด และเมื่อวานตนได้แถลงว่าราคาสินค้าหลายหมวดมีการลดราคา โดยเฉพาะในห้างสำคัญที่เป็นตัวชี้นำตลาด เครื่องใช้ไฟฟ้าลดสูงสุดถึง 70% รายการสินค้าอื่นๆอีกหลายรายการมีการลดราคาลงมา หมูเนื้อแดง ล่าสุดราคาเฉลี่ยทั่วทั้งประเทศต่ำกว่า 150 บาท/กก. และห้างสำคัญบางห้าง เหลือ 128 บาท/กก.
ด้านสมาคมผู้ค้าปลีกไทย นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า การตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างตรงจุด ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุดของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย คณะกรรมการฯ ยังคงยืนยันที่จะพยายามตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากต้องประเมินเป็นรายไตรมาส โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสดซึ่งเป็นปัจจัยหลักของปัญหาค่าครองชีพของประชาชนในขณะนี้
และเห็นด้วยกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะโครงการ คนละครึ่ง นอกจากนี้ อีกโครงการหนึ่งที่มาได้ทันเวลาคือ ช้อปดีมีคืน ที่เป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจากผู้ที่ยังมีกำลังซื้อ ทั้ง 2 โครงการนี้ ถือเป็นการนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทยสามารถดำรง สภาพคล่องและคงการจ้างงานไว้ได้
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงขอนำเสนอมาตรการเพื่อที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในภาวะที่ค่าครองชีพสูงและเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ดังนี้
มาตรการในส่วนของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และซัพพลายเออร์ในภาคีเครือข่าย
- ตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ซึ่งสมาคมฯ และซัพพลายเออร์ในภาคีเครือข่ายยืนยันที่จะตรึงราคาสินค้าฯ จนถึงจบไตรมาสที่หนึ่งของปี 2565 ทั้งนี้ นโยบายการตรึงราคาจะมีการประเมินเป็นรายไตรมาส
- เตรียมสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้กับประชาชน สมาคมฯ ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
- ช่วยฟื้นฟู SMEs ไทย สมาคมฯ และภาคีเครือข่ายจะเร่งขยายในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุน ให้ SMEs ไทยผ่านโครงการ Digital Supplychain Finance ของธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งการขยายและเพิ่มช่องทางการขายให้กับ SMEs เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังคงยืนยันที่จะพยุงการจ้างงานในระบบค้าปลีกให้ อยู่ที่ 1.1 ล้านอัตรา
มาตรการในส่วนของภาครัฐ
- เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่มีวงเงินงบประมาณถึง 3.1 ล้านล้านบาท ให้มีการอนุมัติและดำเนินการเพื่อให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
- การพยุงราคาพลังงานให้คงที่ โดยการใช้ทุกมาตรการเพื่อพยุงราคาพลังงานให้นานที่สุด ถึงแม้รัฐบาลได้มีมาตรการพยุงราคาน้ำมันปรับลดภาษีอัตราน้ำมันดีเซลสรรพสามิตและน้ำมันอื่นๆ 3 บาท ต่อลิตรเป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว อาจจะยังไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณามาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง ซึ่งค่าขนส่งถือว่ามีสัดส่วนถึง 8-10% ของต้นทุนสินค้า
- กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน โดยคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ
“คนละครึ่ง” และ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ภาครัฐดำเนินการได้ดีอยู่แล้วในการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจากผู้ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ขอให้ภาครัฐพิจารณาโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เฟสสองเพิ่มเติม และให้ยืดทั้งระยะเวลาโครงการ รวมถึงวงเงิน ที่สามารถใช้จ่าย โดยเพิ่มจาก 30,000 บาท เป็น 100,000 บาท ทั้ง 2 โครงการจะเป็นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) ถือเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทย ให้สามารถประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ต่อไป