ต่างชาติเข้าไทย 3.78 ล้านคน พุ่ง 3,000% ศบค.ขยายเวลาวีซ่าท่องเที่ยวสูงสุด 45 วัน

เปิดยอดเงินกู้ กยศ. พบยอดให้กู้ยืมกว่า 7 ล้านบาท มีผู้กู้แล้วทะลุ 6 ล้านราย

ชีวิตคนไทยเริ่มอยู่ตัว ความอยากช้อปพีคสุด เริ่มสนใจโควิด-19 น้อยลง

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2565 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เห็นชอบการขยายเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อรายได้ทางการท่องเที่ยว โดยกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และเพิ่มค่าใช่จ่ายของนักท่องเที่ยว ดังนี้

- ขยายเวลาพำนักสำหรับผู้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศ จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน

- ขยายระยะเวลาพำนักสำหรับผู้ได้รับ Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน

- ให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 – 31 มี.ค. 2566

โดยมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการดำเนินการตามมติ ศบค. ต่อไป

สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -17 ส.ค. 65 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย อยู่ที่ 3.78 ล้านคน ปรับเพิ่มขึ้น +3,214% จากปีก่อน และมีรายได้สะสม 176,311 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 535,290 คน อินเดีย 391,615 คน สิงคโปร์ 214,497 คน สหราชอาณาจักร 185,538 คน และเวียดนาม 170,765 คน

นอกจากนี้สัดส่วนการตามประเภทเดินทางตั้งแต่ 1-17 ส.ค. 65 มีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านทางอากาศคิดเป็น 70% และทางบก 30% ของจำนวนทั้งหมด 629,906 คน

เริ่มแล้ว !! "Big Motor Sale 2022" กระตุ้นตลาดรถโลว์ซีซั่น

ขณะเดียวกันสถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -17 ส.ค. 65 มีปริมาณการท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่ 86 ล้านคน-ครั้ง เติบโต +235% จากปีก่อน และมีรายได้ 377,740 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวมากสุด 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี

คนละครึ่ง เฟส 5 “แอปฯเป๋าตัง” ปิดปรับปรุงตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าพรุ่งนี้

ส่งผลให้ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดตั้งแต่  1 ม.ค. -17 ส.ค. 65 อยู่ที่ 554,051 ล้านบาท รายได้มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 377,740 ล้านบาท คิดเป็น 68% และ รายได้มาจากนักท่องเที่ยวไทยอยู่ที่ 176,311 ล้านบาท คิดเป็น 32%