จับตากลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ หลัง BYD รุกตั้งโรงงานในไทย ผลิตส่งออกรถอีวี
BYD ค่ายรถยนต์จีน รุกตั้งโรงงานในไทย เพื่อรถอีวีส่งออกต่างประเทศ ตั้งเป้า 150,000 แสนคันต่อปี โบรกจับตาผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ว่ามีโอกาสได้รับออเดอร์มากน้อยเพียงใด
ดีลใหญ่สุดในรอบ 20 ปี WHA ขายที่ดินให้ BYD ตั้งโรงงานผลิตรถอีวี
กรมสรรพสามิต ได้บทเรียนอย่างไร? จากมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า
ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส หรือ ASPS เปิดรายงานบทวิเคราะห์ถึงกรณี บีวายดี (BYD) ค่ายรถยนต์สัญชาติจีน เตรียมตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 คาดเริ่มจะผลิตปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้า 150,000 แสนคันต่อปี เพื่อส่งออกไปตลาดอาเซียน และยุโรป โดยหากกำหนดสมมติฐาน Utilization rate 80% การผลิตจริงต่อปีจะอยู่ที่ 120,000 คันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนราว 7% ของยอดผลิตรถยนต์ไทยปี 2564 ที่ 1.68 ล้านคัน และ 6% ของยอดผลิตรถยนต์ไทยปี 2562 ราว 2 ล้านคัน
โดยจากข้อมูลตั้งแต่ปี 2561 การตั้งสายการผลิตของค่ายรถยนต์จีนในไทย พบว่า MG มี การเพิ่มกำลังผลิตราว 100,000 คันต่อปี และ GWM (เริ่ม ก.ค. 2564) ประมาณ 800,000 คันต่อปี
ทั้งนี้ ภาพรวมการผลิตรถยนต์ไทยปี 2564 สัดส่วน 92% ยังเป็นค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น รองลงมาอเมริกาและยุโรป รวมกันประมาณ 6% ซึ่งต้องติดตามความสำเร็จของค่ายรถยนต์จีน ที่รุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดมากน้อยเพียงใด
ยอดจดทะเบียนรถอีวีสะสมในไทย 17,026 คัน เพิ่มขึ้น 118.79% จากปีก่อน
สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อย่าง AH, SAT, STANLY และ SNC (สัดส่วนแอร์รถยนต์ ราว 4% ของยอดขายครึ่งแรกของปี 65) เนื่องจากยังเป็นช่วงเริ่มต้นของ BYD ในการเข้ามาลงทุนในไทย จึงต้องติดตามต่อว่ากลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จะมีการเข้า BID ออเดอร์หรือไม่ และมูลค่ามากน้อยเพียงใด เพราะชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) จะใช้ชิ้นส่วนรถยนต์น้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาป
อย่างไรก็ดีชิ้นส่วนรถยนต์ของ STANLY และแอร์รถยนต์ของ SNC ยังเป็นชิ้นส่วนที่ยังมีอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่เชิงความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ที่เห็นชัดเจนมี AH ที่มีการตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีน และ SNC ที่มีการรับจ้างประกอบแอร์ให้กับบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าจีน
โดยคงน้ำหนักน้อยกว่าตลาด จากความเสี่ยงด้านภาวะถดถอย (Recession) ของประเทศคู่ค้าในปี 2566 โดย AH และ SAT ยังเป็น Top pick กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช่วงที่ผ่านมาพอสมควร อาจพิจารณาในเชิง Catch up play อย่าง STANLY และ SNC