ผลสำรวจผู้บริโภคในอาเซียน ผวาภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากเงินเฟ้อ-ของแพง
เปิดผลสำรวจผู้บริโภคในอาเซียน เผชิญเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ส่วนมากกำลังวิตกว่าเศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะถดถอยในปีหน้า
ธนาคารยูโอบี (UOB) รายงานศึกษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน (ASEAN Consumer Sentiment Study หรือ ACSS) ประจำปี 2566 พบว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความหวาดกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอาเซียนมากขึ้น ขณะที่การรับนำไปใช้และการใช้งานช่องทางธนาคารและการชำระเงินดิจิทัลเติบโตอย่างคึกคัก โดยกว่า 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจในการศึกษา ACSS ปี 2566 คาดว่า ประเทศของตนจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ดับความหวังที่จะเกิดการฟื้นตัว
ขณะที่ความรู้สึกหดหู่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนักจากปีก่อน การศึกษานี้ยังเผยให้เห็นความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการใช้ช่องทางธนาคารดิจิทัล อย่างแอปธนาคารในมือถือ ตลอดจนวิธีการชำระเงินแบบใหม่ ๆ เช่น อีวอลเล็ตหรือการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ด แพลตฟอร์มชำระเงินอีคอมเมิร์ซ และบัตรเดบิตหรือเครดิตการ์ดผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล
ราคาน้ำมันโลกแนวโน้มลด จากปัญหาอุปทานเริ่มคลี่คลาย
หอการค้า จับตา ครม.ชุดใหม่ ปัญหาเศรษฐกิจท้าทายรอแก้ไข
การศึกษา ACSS ของยูโอบีจัดทำขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้วในปีนี้ ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 1 ถึง 26 มิถุนายน 2566 โดยสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์จำนวน 3,400 คนจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม โดยครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ยูโอบีร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการระดับโลกอย่างบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) ในการศึกษานี้ด้วย
นายแจ็กเกอลีน ตัน หัวหน้าฝ่ายบริการการเงินส่วนบุคคลของเครือยูโอบี กล่าวว่าแม้การศึกษา ACSS ปี 2566 ของยูโอบีจะชี้ว่า ผู้บริโภคในอาเซียนมีมุมมองที่มีลักษณะระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต เมื่อภาวะเงินเฟ้อในสิงคโปร์และตลาดพัฒนาแล้วแห่งอื่น ๆ ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เรายังยินดีที่ได้เห็นว่าความกระตือรือร้นในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและการเปิดรับยุคใหม่แห่งเทคโนโลยียังคงไม่แผ่วลง
ทั้งนี้ ในการเป็นเครื่องวัดความรู้สึกในระดับภูมิภาคต่อเศรษฐกิจ รวมถึงด้านสำคัญที่เป็นที่สนใจอย่างพฤติกรรมการใช้จ่ายและพฤติกรรมทางการเงิน และเทคโนโลยี ข้อค้นพบจากการศึกษา ACSS ปี 2566 ของยูโอบีนี้มอบมุมมองเชิงลึกที่มีค่า ให้ผู้บริโภคและธุรกิจได้ปรับตัวและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในขณะนี้
"ในฐานะสถาบันทางการเงินแห่งหนึ่ง กระแสแนวโน้มและมุมมองเชิงลึกที่เห็นได้เด่นชัดในการศึกษาเกี่ยวกับความกังวลหลักของผู้บริโภค การออมเงิน พฤติกรรมและความต้องการทางการเงินและดิจิทัล จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าของเราในภูมิภาคนี้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราตอบสนองความต้องการของลูกค้า และยกระดับความพยายามในการมีปฏิสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนลูกค้าของเราในการปรับตัวเข้าสู่ภูมิทัศน์ใหม่ด้านการธนาคารและดิจิทัล ตลอดจนในการคว้าโอกาสในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปัจจุบันเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่มั่นหมายไว้"
เงินเฟ้อดับฝันเศรษฐกิจฟื้นตัว
เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นข้อกังวลหลักในอาเซียน โดย 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความกังวลในเรื่องนี้ ขณะที่ 57% กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่สูงขึ้น ชาวสิงคโปร์มีความกังวลในสองเรื่องนี้มากที่สุด โดย 71% และ 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่สูงขึ้นตามลำดับ ข้อกังวลทางการเงิน 3 อันดับแรกในภูมิภาคนี้ ได้แก่ ความสามารถที่จะกันเงินเป็นเงินออม (37%) ความสามารถที่จะซื้อของจำเป็น (31%) และความสามารถที่จะรักษาระดับการดำเนินวิถีชีวิตในปัจจุบัน (28%)
ในขณะที่ค่าสาธารณูปโภค (42%) และการซื้อของกินของใช้ในครัวเรือน (34%) เป็นรายการที่ผู้บริโภคใช้จ่ายสูงสุด 2 อันดับแรก ตามด้วยการสั่งอาหารหรือซื้ออาหาร และการศึกษาของบุตรอยู่ในอันดับสามร่วมกัน (31%) สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็นนั้น คนส่วนใหญ่ลดรายจ่ายด้านเครื่องประดับ (38%) และการรับประทานอาหารที่ร้าน (34%) ตามด้วยเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (32%)
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังมีมุมมองเชิงบวกอยู่บ้าง โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 3 ใน 5 ทั่วภูมิภาคนี้คาดว่าตนเองจะมีสถานภาพทางการเงินที่ดีขึ้นภายในเดือนมิถุนายนปีหน้า มากที่สุดคือเวียดนาม (76%) ตามด้วยอินโดนีเซีย (74%) และไทย (68%) สอดคล้องกับการคาดการณ์แนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 2566 โดยยูโอบีว่าความเชื่อมั่นจะดีขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง
ในสิงคโปร์ สถานการณ์ทางการเงินที่เป็นข้อกังวลสูงสุด 2 ประการ ได้แก่ ความสามารถที่จะกันเงินเป็นเงินออม (42%) และความสามารถในการวางแผนเกษียณล่วงหน้า (37%) ส่วนความสามารถที่จะซื้อของจำเป็นและความสามารถที่จะรักษาระดับการดำเนินวิถีชีวิตปัจจุบันอยู่ในอันดับ 3 ร่วมกัน (31%) โดย 43% ของผู้บริโภคในการสำรวจระบุว่า ตนมีการจ่ายค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
ส่วน 34% รายงานว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อของกินของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น และ 32% ใช้จ่ายด้านการเดินทางประจำวันเพิ่มขึ้น กว่า 1 ใน 4 ของชาวสิงคโปร์จัดสรรงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน ส่งผลให้ผู้บริโภคกันเงินสำหรับการออมน้อยลง โดย 23% ระบุว่าเป็นเช่นนั้น คนรุ่นเจนซี (Gen Z) เป็นกลุ่มประชากรที่ยึดหลักระมัดระวังมากที่สุด โดย 48% วางแผนที่จะออมเงินมากขึ้นในปีนี้ เทียบกับค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ 35% ส่วนคนรุ่นเจนวาย (Gen Y) ให้ความสำคัญกับการลงทุน โดย 30% จัดสรรเงินสำหรับลงทุน เทียบกับค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ 24%