เอกชน เชื่อมั่น !! ครม.ชุดใหม่ เร่งทำสมุดปกขาวแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ
เอกชน เชื่อมั่น !! คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ มีเสถียรภาพ เตรียมเร่งทำสมุดปกขาว เสนอแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายในเดือนกันยายนนี้
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือน ก.ย. 2567 ระบุว่า แสดงความยินดีที่รัฐบาลสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ซึ่งมีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนแรกกว่า 757 แห่ง มีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่ โดยที่ประชุม กกร. จะเร่งจัดทำสมุดปกขาว นำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสนอรัฐบาลให้เร่งดำเนินการนั้น อยากให้รอรายละเอียดในสมุดปกขาวว่าจะมีเรื่องไหนบ้าง ส่วนปัญหาที่อยากให้เร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุด เช่น การส่งผ่านเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปยังกลุ่มเปราะบาง เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น
สำหรับสมุดปกขาว ขณะนี้ร่างรายละเอียดข้อเสนอต่างๆไว้เบื้องต้นแล้ว คาดว่า จะยื่นให้กับรัฐบาลได้เร็วที่สุดภายในเดือนกันยายนนี้ ส่วนเรื่องที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท การช่วยเรื่องค่าครองชีพของประชาชน การบริหารจัดการน้ำ และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีการแจกเงินเป็นเงินสด 10,000 บาท จะช่วยกระตุ้น GDP มากน้อยแค่ไหน นายผยง กล่าวว่า ก็จะช่วยเรื่องรายได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลที่จะประกาศออกมาให้ชัดเจนก่อน
เสนอตั้งรองนายกรัฐมนตรี 1 คน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ภาคเอกชน มีความกังวลเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลในการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หรือไม่ โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เชื่อว่า ความเป็นเอกภาพคงมี และเสียงในสภาคงเพียงพอแล้ว แต่สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือจะต้องดูว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และอยากเสนอต่อรัฐบาล ให้ตั้งรองนายกรัฐมนตรี 1 คน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นการเฉพาะ เนื่องจากที่ผ่านมามีตัวอย่างที่ภาคเอกชนไม่สามารถเจรจากับจีนเรื่องส่งออกผลไม้ได้ แต่เพราะมีรองนายกฯที่นำคณะเอกชนไปหารือกับจีน จึงทำให้การเจรจาต่างๆ ง่ายขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีรองนายกฯ ที่จะเป็นหัวหน้าทีมในการเป็นหัวหน้าทีม
ยืนยันว่า ภาคเอกชน พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนกรณีการจัดเตรียมทำสมุดปกขาว เพื่อเสนอแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

คงประมาณการ GDP แต่ปรับส่งออกโตเพิ่ม
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง เครื่องชี้ด้านการผลิต PMI Manufacturing เดือนสิงหาคมของประเทศหลักทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ต่างหดตัว โดยสหรัฐฯ ส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ค่าระวางเรือยังสูงกว่าย่ภาวะปกติ 3 เท่าตัวเป็นปัจจัยลบต่อการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยในเดือน ก.ค. เติบโตถึง 15.2% จากแรงหนุนของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ของโลก และคาดว่า ทั้งปีจะเติบโตได้ 1.5-2.5% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 0.8-1.5% แต่การเติบโตดังกล่าวยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เป็นการเติบโตในวงกว้าง
ขณะที่ อุปสงค์ภายในประเทศของไทยยังอ่อนแรงสะท้อนจากการลงทุน แม้ว่ารัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเติบโตเฉลี่ยได้กว่า 20% ในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. เศรษฐกิจในไตรมาสที่สองที่ผ่านมายังชะลอตัว โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนหดตัวมากถึง 6.8% เหตุสำคัญจากกลุ่มยานยนต์ที่ยอดขายในประเทศลดลงถึง 24% โดยการลงทุนในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอสะท้อนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของ กกร. คงประมาณการ GDP อยู่ที่ 2.2-2.7% แต่ปรับคาดการณ์ส่งออกจาก 0.8-1.5% โตเพิ่มเป็น 1.5-2.5% ส่วนเงินเฟ้อ อยู่ที่ 0.5-1.0% เท่าเดิม
น้ำท่วม เสียหายราว 6-8 พันล้านบาท
ส่วนภาวะอุทกภัยที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม คาดว่า มูลค่าความเสียหาย ช่วง ส.ค.- ต้นเดือน ก.ย. จะอยู่ที่ราว 6-8 พันล้านบาท หรือ 0.03-0.04% ของ GDP ซึ่งภาคเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนระยะถัดไป ต้องติดตามพายุที่อาจจะเข้าได้ช่วง ก.ย.-ต.ค. ถือเป็นความเสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ยังกังวลต่อสถานการณ์น้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและกลางตอนบน จึงมีมติให้จัดตั้งคณะทำงานย่อยจัดทำข้อเสนอด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเสนอต่อภาครัฐ โดยเน้นการวางแผนระยะยาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำรอยเหมือนปี 2554 เน้นการพัฒนาแหล่งน้ำและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำทั่วประเทศ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ / ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้มีการเชื่อมโยงระหว่างความต้องการน้ำและการจัดหาน้ำ เพื่อให้สามารถจัดการน้ำได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันจะไม่รุนแรงเท่าปี 2554 แต่คาดว่าในปี 2567 จะยังมีพายุพัดผ่านไทยอีก 2 ลูก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 จึงต้องมีการเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดอ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา
พร้อมเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อมูลการเคลื่อนที่ของมวลน้ำในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์น้ำได้อย่างทันท่วงที และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในการฟื้นฟูธุรกิจ เช่น มาตรการทางภาษี มาตรการบรรเทาต้นทุนการผลิต และมาตรการทางการเงิน เป็นต้น