มาแล้ว !!! Easy E-receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 หมื่นบาท
มาแล้ว !!! Easy E-receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 หมื่นบาท ลดหย่อนปีภาษี 2568 ลุ้นเริ่มโครงการตั้งแต่ 15 ม.ค.- 28 ก.พ. 2568
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 24 ธันวาคม 2567 กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการลดหย่อนภาษี กระตุ้นการบริโภคในประเทศ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน อย่างโครงการ Easy E-receipt ซึ่งจะให้สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 หมื่นบาท สำหรับปีภาษี 2568 คาดว่าจะเริ่มโครงการตั้งแต่ 15 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568

ตร.ไซเบอร์ รวบนักร้องนำวงเมทัล ดูแลบัญชีเว็บพนัน รับใช้เงินเกินตัว ติดกินหรูอยู่แพง!
พยากรณ์ล่วงหน้า ช่วงปีใหม่อากาศแปรปรวน-มีฝนรบกวนช่วงวันหยุดยาว
20 ที่เที่ยวปีใหม่ ใกล้กรุงเทพฯ ไปเช้าเย็นกลับ เดินทางง่าย
สำหรับวงเงินลดหย่อน 5 หมื่นบาท ยังคงเหมือนเดิม แต่มีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะแบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ตระกร้าคือ วงเงินแรก 3 หมื่นบาท ใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เหมือนโครงการที่แล้ว โดยมีสินค้ายกเว้น เช่น เหล้า บุหรี่ ยาสูบ น้ำมัน รถจักรยายนต์ไฟฟ้า ทองคำ โทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าประกัน เป็นต้น โดยวงเงินนี้สามารถนำไปซื้อแพ็คเกจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้ด้วย อาทิ ทัวร์ โรงแรม รถเช่า เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ ต่างจากโครงการเดิมที่ไม่ได้ให้สิทธิ์ในส่วนนี้
ส่วนวงเงินอีก 2 หมื่นบาท ใช้สำหรับซื้อสินค้าวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ผ่านทุกช่องทาง รวมถึงสามารถซื้อสินค้าของวิสาหกิจชุมชนในแพลตมฟอร์มออนไลน์ได้ อาทิ ช้อปปี้ ลาซาด้า อย่างไรก็ตามหากจะต้องการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจสามารถซื้อของได้เต็มจำนวน 5 หมื่นบาท
ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องอยู่ในระบบฐานภาษีของไทย คือเป็น ร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษี/ใบรับ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt เพราะโครงการรอบนี้จะออกใบกำกับภาษีในการซื้อสินค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
ทั้งนี้การออกมาตรการการลดหย่อนภาษีครั้งนี้ จะทำให้คนตัดสินใจซื้อของง่ายขึ้น และสาเหตุที่ไม่ออกมาตรการช่วงปลายปี เพราะช่วงปลายปีมีการจับจ่ายใช้สอยสูงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามคาดว่าโครงการนี้ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ 1 หมื่นล้านบาท แต่จะมีเงินหมุนเวียนถึง 7 หมื่นล้านบาท และมีร้านค้าเข้าร่วมมาตรการมากขึ้น หลังจากการดำเนินการในระยะเดิม ที่สามารถดึงร้านค้าเข้าระบบได้ถึง 20%